อิคิไก (IKIGAI) แนวทางดำเนินชีวิตที่สมดุลอันนำมาซึ่งความสุขตามแบบฉบับของคนโอกินาว่า

อิคิไก (IKIGAI) แนวทางดำเนินชีวิตที่สมดุลอันนำมาซึ่งความสุขตามแบบฉบับของคนโอกินาว่า

ฉันเคยได้ยินคำว่าอิคิไก (IKIGAI) มาบ้าง ผ่านแผนภาพที่แสดงให้เห็นว่า อิคิไกคือจุดสมดุลที่เกิดจากการที่เราได้ทำในสิ่งที่ชอบ ทำมันได้ดี หาเลี้ยงชีพด้วยสิ่งนั้นได้ และยังเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมด้วย ฉันเชื่อว่ามนุษย์เกิดมาเพื่อตามหาอิคิไกของตัวเอง บางคนอาจเจอแล้ว บางคนอาจกำลังตามหาอยู่ ฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

อิคิไก (IKIGAI)

เพราะอยากทำความเข้าใจกับอิคิไกให้มากขึ้น ฉันเลยซื้ออีบุ๊ค IKIGAI ที่เขียนโดย Hector Garcia มาอ่าน แล้วตัวอักษรจากหนังสือไม่เกิน 200 หน้าก็ร่ายมนตร์ให้ฉันอยากลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองตั้งแต่บทแรกๆ ที่อ่านจบ

ฉันอยากบันทึกสิ่งที่ได้เรียนรู้ไว้ในบล็อกนี้และชวนทุกคนออกตามหาอิคิไกของตัวเองไปพร้อมๆ กัน..

 

อิคิไก (IKIGAI) แปลว่าอะไร?

 

ที่มา: unsplash.com

คำว่าอิคิไก (Ikigai) ในภาษาญี่ปุ่นแปลตรงตัวได้ว่า “ชีวิตที่มีคุณค่า” อิคิไกคือความสุขที่เกิดขึ้นจากการทำตัวให้ยุ่งอยู่ตลอดเวลากับสิ่งที่ชอบ เป็นแนวคิดในการใช้ชีวิตของคนญี่ปุ่นที่มีชีวิตยืนยาวกว่า 100 ปี โดยเฉพาะคนญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในเมืองโอกิมิ (Ogimi) บนเกาะโอกินาว่า

อิคิไกสำหรับพวกเขาคือเหตุผลของการตื่นขึ้นมาในทุกๆ วัน..

 

โอกินาว่า (Okinawa) หนึ่งในห้า Blue Zone ของโลก

 

อิคิไก (IKIGAI)

ที่มา: unsplash.com

Blue Zone คือเมืองต่างๆ ที่มีคนอายุยืนอาศัยอยู่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก ได้แก่ เมืองซาร์ดิน่า (Sardina) ประเทศอิตาลี, เมืองโลมาลินดา (Loma Linda) รัฐแคลิฟอร์เนีย, เมืองโคตา เพนนินซูล่า (Nicoya Penninsula) ประเทศคอสตาริกา, เมืองอิคาเรีย (Ikaria) ประเทศกรีซ และเมืองโอกินาว่า (Okinawa) ประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง แม้ว่าจะอยู่ห่างกันคนละซีกโลก คนที่อาศัยอยู่ในเมืองเหล่านี้กลับมีหลายสิ่งที่เหมือนกัน พวกเขาทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ รักษาความสัมพันธ์กับคนรอบตัว และมีเป้าหมายในชีวิต

 

อิคิไก (IKIGAI): ทานอาหารที่มีประโยชน์

 

อิคิไก (IKIGAI)

ที่มา: unsplash.com

คนโอกินาว่าไม่ค่อยกินเนื้อสัตว์ ลดอาหารที่มีรสเค็มและหวาน เน้นกินผักผลไม้ เต้าหู้ ปลา มันหวาน ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนมากจนเกินไป มีชาเขียวมะลิเป็นเครื่องดื่มโปรด ซึ่งมีงานวิจัยของญี่ปุ่นเองออกมายืนยันว่าชาเขียวมะลิช่วยลดระดับของคอเลสเตอรอลในเลือด เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และบรรเทาความเครียดได้

ในแต่ละมื้อ พวกเขาจะพยายามกินให้อิ่มแค่ประมาณ 80% เท่านั้น (ไม่ให้รู้สึกว่าอิ่มจนเกินไป) เพื่อให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น พยายามกินเป็นมื้อๆ และไม่กินของว่างระหว่างวันตลอดเวลา เราอาจจะฝึกฝนพฤติกรรมการกินของตัวเอง แล้วอนุญาตให้มี cheat day ได้ 1 วันต่อสัปดาห์ เป็นวันที่เราจะกินของหวานอะไรก็ได้ที่อยากกิน

 

อิคิไก (IKIGAI): ออกกำลังกายและพักผ่อนอย่างเพียงพอ

 

อิคิไก (IKIGAI)

ที่มา: unsplash.com

ระหว่างที่เราออกกำลังกาย ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา คนโอกินาว่าไม่ได้เน้นการออกกำลังกายแบบหักโหม แต่พยายามเคลื่อนไหวร่างกายในทุกๆ วันเพื่อเป็นการบริหารกล้ามเนื้อและระบบทางเดินหายใจ

พวกเขาจะเลือกเดินในระยะใกล้แทนการขับรถ เดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์หรือขึ้นบันไดเลื่อน โดยพยายามเดินให้ได้อย่างน้อยประมาณ 20 นาทีต่อวัน พร้อมกับพักผ่อนอย่างเพียงพอประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน เพราะถ้ามากไปกว่านั้นจะทำให้เรารู้สึกล้าเสียมากกว่า

 

อิคิไก (IKIGAI): หางานอดิเรกที่ตัวเองชอบทำ

 

อิคิไก (IKIGAI)

ที่มา: unsplash.com

คนโอกินาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย พวกเขาชอบตื่นแต่เช้า ออกไปรับแสงแดด ยุ่งอยู่กับการดูแลสวนผักและผลไม้ที่ปลูกไว้ในบ้านของตัวเอง นำมาทำอาหารทาน เหลือก็เอาไปขายในตลาดใกล้บ้าน นี่คืออิคิไกของพวกเขา

คนเรามีความชอบที่ไม่เหมือนกัน บางคนชอบทำขนม ปลูกต้นไม้ วาดรูป เล่นดนตรี วิ่ง หรืออ่านหนังสือ ส่วนฉันชอบดูหนังที่ให้แง่คิด ฟังเพลงเก่าๆ เดินป่า และเพิ่งค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ว่าชอบทำอาหาร หลังจากที่เพิ่งได้ลองทำมัน ฉันมักจะเห็นโฮสแฟมมิลี่ของตัวเองที่ญี่ปุ่นโพสรูปกิจกรรมยามว่างอยู่เสมอ ประดิษฐ์กิ๊ฟติดผมเองบ้าง อบคุ้กกี้ หรือทำข้าวกล่องน่ารักๆ สไตล์ญี่ปุ่น

อย่างไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา เพื่อนที่เป็นคนจอร์เจียชวนฉันออกไปเล่นตีปิงปองด้วยกัน ปิงปองเป็นหนึ่งในไม่กี่กีฬาที่ฉันชอบ และไม่ได้เล่นมานานมากแล้ว พอได้เล่นสลับไปกับการมีบทสนทนาดีๆ รู้ตัวอีกที 1 ชั่วโมงที่พวกเราเช่าโต๊ะเล่นปิงปองกันก็ผ่านไป นั่นก็น่าจะเป็นหนึ่งในกิจกรรมอิคิไกของฉัน

เราอาจจะลองทำกิจกรรมหลายๆ อย่างดู เพื่อค้นหาว่าอะไรคือสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุขมากที่สุด สนุกกับมันชนิดที่ว่าลืมมองนาฬิกาไปเสียสนิท นั่นอาจจะเป็นอิคิไกของคุณ ถ้าหาอิคิไกของตัวเองเจอแล้ว ก็ทุ่มเทกับมัน อย่ามัวแต่เสียเวลาอันมีค่าไปกับสิ่งที่เราไม่ชอบ และอย่ายอมแพ้ให้กับสิ่งที่คุณทำแล้วมีความสุข

ยิ่งสร้างรายได้เสริมจากงานดิเรกได้เลยยิ่งดี เราจะได้มีรายได้หลายทางรองรับ เพื่อนของฉันคนหนึ่งชอบเลี้ยงแคคตัสมาก เรียนรู้วิธีเพาะพันธุ์เอง จนเริ่มเปิดร้านเล็กๆ บนอินสตราแกรมเป็นของตัวเองได้ บางคนก็ทำงานเสริมได้ดีจนถึงขั้นลาออกจากงานประจำมาทำในสิ่งที่รักเลยก็มี

และถ้าอยากมีอิสระทางการเงิน ก็ต้องใช้เงินให้เป็น พยายามจ่ายคืนหนี้สินที่มีให้หมดไปโดยเร็วที่สุด จะได้มีเรื่องให้ต้องกังวลน้อยลงไปอีกหนึ่งเรื่อง

 

อิคิไก (IKIGAI): รักษาความสัมพันธ์กับคนรอบตัว

 

อิคิไก (IKIGAI)

ที่มา: unsplash.com 

คนโอกินาว่ามีคติในการปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยการดูแลเหมือนกับว่าพวกเขาคือพี่น้องของตัวเอง แม้ว่าจะไม่เคยเจอกันมาก่อน พวกเขามักรู้สึกว่าตัวเองอยากช่วยเหลือสังคม ซึ่งอาจเป็นเรื่องเล็กๆ อย่างการขับรถส่งเพื่อนที่ป่วยไปโรงพยาบาล

ชาวบ้านในโอกินาว่ามักจะรวมตัวกันเพื่อช่วยเพื่อนบ้านเก็บเกี่ยวพืชผล นำเงินรายได้ไปเก็บไว้ที่ส่วนกลาง ไว้ใช้จัดงานประชุม กินมื้อเย็น เล่นหมากรุกญี่ปุ่น หรือฉลองงานวันเกิดครบรอบ 100 ปีของคนในหมู่บ้านแล้วมีช่วงเวลาที่ดีๆ ไปด้วยกัน

เราอาจจะนำมาปรับใช้ ด้วยการออกไปพบปะผู้คน เล่นกับสัตว์เลี้ยงบ่อยๆ ใช้เวลาพักผ่อนไปกับเพื่อนและครอบครัว แต่ให้หลีกเลี่ยงกลุ่มคนที่เรารู้สึกไม่ดีเวลาอยู่ด้วย วิ่งเล่นกับเด็กๆ เล่นกีฬาสนุกๆ หรือพาตัวเองไปอยู่กับธรรมชาติเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ มีบทสนทนาและเรื่องราวดีๆ มาเล่าสู่กันฟัง ให้คำแนะนำซึ่งกันและกัน เพื่อไม่ให้ตัวเองใช้เวลาไปกับการนั่งดูทีวีหรือใช้โซเชียลมีเดียมากจนเกินไป

เราอาจไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนเยอะ แต่เพื่อนที่มีคือคนที่เราไว้ใจได้ Haruki Murakami นักเขียนชื่อดังชาวญี่ปุ่น มักจะออกมาพบปะกับเพื่อนที่เขาสนิทจริงๆ เท่านั้น และจะปรากฎตัวในที่สาธารณะแค่ไม่กี่ครั้งต่อปี ทำให้เขามีเวลาเขียนหนังสือออกมาหลายเล่มและประสบความสำเร็จจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

 

อิคิไก (IKIGAI): Young at heart

 

อิคิไก (IKIGAI)

ที่มา: unsplash.com

คนโอกินาว่ามักจะทำให้ตัวเองพยายามแอคทีฟอยู่ตลอดเวลาด้วยกิจกรรมที่เป็นอิคิไกของพวกเขา แต่ทำแบบสบายๆ ไม่ต้องเร่งรีบ เพราะวิ่งช้าๆ จะวิ่งได้นานกว่า เปิดรับความคิดใหม่ๆ เพื่อเปิดมุมมองของตัวเองให้กว้างขึ้น เรียนรู้และลองทำสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ พวกเขาทิ้งคำว่าเกษียณ แล้วทำในสิ่งที่ตัวเองชอบตราบเท่าที่สุขภาพร่างกายยังเอื้ออำนวย

Can someone really retire if he is passionate about what he does?

 

ความเครียดในระดับที่พอดีเป็นสิ่งที่ดี

 

ที่มา: unsplash.com

ความเครียดสะสมทำให้รู้สึกโกรธได้ง่าย มักวิตกกังวล นอนไม่หลับ และยังเป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงอีกด้วย แต่ความเครียดในระดับที่พอดีช่วยให้เราสามารถรับมือกับอุปสรรคได้ดีขึ้นด้วยทัศนคติเชิงบวก เพราะเรารู้สึกวิตกกังวลกับมันน้อยลง

เราถึงควรเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนและความวุ่นวายดูบ้าง เพื่อออกผจญภัยและย้ำเตือนกับตัวเองว่าชีวิตมีค่ามากแค่ไหน

คนที่ทุ่มเทให้กับงานที่ทำและมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จมักมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าคนที่เกษียณและใช้ชีวิตแบบสุขสบายเกินไป

 

Here and now: อยู่กับปัจจุบัน

 

ที่มา: unsplash.com

ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ แต่เราสามารถเรียนรู้ที่จะเติบโตและพัฒนาได้ทุกวัน และเพื่อให้ตัวเองได้เดินไปบนเส้นทางที่ต้องการจริงๆ เราต้องมีความกล้าและใช้ความพยายามที่มากพอ หลายคนใช้วิธีนั่งสมาธิให้ตัวเองมีสติและจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ดีขึ้น เพื่อระลึกอยู่เสมอว่าตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่

อย่ามัวแต่คิดถึงอดีตหรือกังวลเกี่ยวกับอนาคต เพราะมีแค่ปัจจุบันขณะเท่านั้นที่เราจะสามารถลงมือทำในสิ่งที่อยากทำให้ดีที่สุดได้ หากสังเกตได้ว่าเรากำลังมีพฤติกรรมอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์นัก ก็หยุดแล้วเปลี่ยนไปทำสิ่งที่ส่งผลดีกับตัวเองดีกว่า

อย่าลืมมองให้เห็นความสุขจากสิ่งเล็กๆ สนุกไปกับทุกฤดูกาล และยิ้มบ่อยๆ เข้าไว้ 🙂

 

Go with the flow

 

ที่มา: unsplash.com

ในหนังสือ IKIGAI ยังพูดถึงภาวะ flow ซึ่งเกิดจากการที่เราทำบางสิ่งบางอย่างอย่างตั้งใจ จดจ่ออยู่กับมัน และสามารถทำสิ่งนั้นโดยไม่มีอะไรมาดึงดูดความสนใจของเราไปได้ การค้นหา flow ของเราเอง อาจเป็นการลองหาอะไรทำที่สร้างความท้าทายและให้ตัวเองได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ไม่แน่ว่าคุณอาจจะพบสิ่งที่คุณชอบโดยที่คุณเองก็ยังแปลกใจด้วยซ้ำ ที่สำคัญเราต้องนึกถึงเป้าหมายของสิ่งที่เรากำลังจะทำก่อนลงมือทำ เพราะถ้าเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน ก็จะไม่ผัดวันประกันพรุ่ง flow ของเราจะสำเร็จได้ง่ายขึ้น และเมื่อถึงเวลาที่ต้องหยุดทำสิ่งนั้น ก็ต้องรู้จักวางมันไว้ข้างหลัง

Jiro Suchi ร้านซูชิชื่อดังที่ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ Ginza ในกรุงโตเกียวน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด Jiro ผู้เป็นเจ้าของร้านยังคงไปที่ตลาดปลาเพื่อค้นหาปลาที่ดีที่สุดกลับมาทำซูชิทุกวันกว่า 80 ปี เขาไม่เคยคิดที่จะขยายร้าน เพราะเขาทำร้านซูชิด้วยใจรัก ไม่ใช่เพราะเงิน ภารกิจของเขาคือการทำซูชิที่อร่อยที่สุดในโลก!

คนที่มีความสุขที่สุดอาจไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด แต่เป็นคนที่ใช้เวลาไปกับ flow ของเขามากที่สุด

แล้วกิจกรรมที่ทำให้คุณรู้สึกดำดิ่งลงไปในภาวะนี้มีอะไรบ้าง?

Keep going and don’t change your path!

 

Multitask อาจไม่ได้ช่วยให้ประหยัดเวลาอย่างที่คุณคิด

 

ที่มา: unsplash.com

Technology is great if we are in control of it. It’s not so great if it takes control of us!

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเทคโนโลยีทำให้เราไม่สามารถที่จะโฟกัสกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน และทำให้เรากลายเป็นคนที่ทำอะไรหลายอย่างพร้อมๆ กันอยู่ตลอดเวลาจนอาจพลาดอะไรไป

เราอาจจะชอบฟังเพลงในยูทูปขณะที่กำลังเขียนอีเมล แล้วก็ตอบแชทเพื่อนไปด้วย กว่าจะเขียนอีเมลนั้นเสร็จ ก็อาจจะต้องใช้เวลานานถึงครึ่งชั่วโมงแทนที่จะเป็น 15 นาที แถมอีเมลนั้นอาจจะมีข้อผิดพลาดอีกต่างหาก หรือเราอาจจะหยิบมือถือขึ้นมาเล่นในขณะที่กำลังกินอาหารอยู่กับเพื่อนหรือครอบครัว ไม่ได้ใช้เวลาไปกับคนรอบตัวจริงๆ หรือลืมสังเกตไปว่าจริงๆ แล้วอาหารมื้อนั้นมันอร่อยขนาดไหน

วิธีสร้างสิ่งแวดล้อมรอบตัวเพื่อไม่ให้ดึงดูดความสนใจของเราไป:

  • ลดใช้มือถือและโซเชียลมีเดียทุกครั้งที่ต้องทำงาน
  • ทำ social media detox เพื่องดเล่นโซเชียลมีเดียอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
  • เช็คอีเมลแค่วันละครั้งหรือสองครั้ง โดยกำหนดเวลาให้ชัดเจน
  • ใช้เทคนิค pomodoro เพื่อโฟกัสกับการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างต่อเนื่อง อาจจะทำงาน 25 นาที พัก 5 นาที หรือทำงาน 50 นาที พัก 10 นาทีก็ได้ *เทคนิคนี้ฉันลองทำแล้วได้ผลจริง!

 

การเป็นฟรีแลนซ์นักแปลและเขียนคอนเทนต์สำหรับฉันต้องใช้สมาธิพอสมควร ถ้าฟังเพลงแบบมีเนื้อร้องในระหว่างที่ทำงานไปด้วย งานของฉันมักจะไปไม่ถึงไหน ช่วงหลังๆ ฉันลองเปลี่ยนมาทำงานแบบเงียบๆ หรือเปิดวิดีโอ study with me with music ในยูทูปที่ใช้เทคนิค pomodoro ควบคู่ไปด้วย แบบนี้ทำให้ productive กว่าเยอะมาก

ช่วงที่พักก็ค่อยให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ กับตัวเองอย่างกาแฟหรือชาร้อนๆ สักแก้ว เล่นกับแมว หรือช็อกโกแลตสักชิ้น และถ้าทำอะไรบางอย่างเป็นเวลานานแล้วรู้สึกว่าตัวเองไม่มีสมาธิ ก็ลองหยุดพักไปเดินเล่นนิดหน่อย แล้วค่อยกลับมาลุยต่อ!

 

Staying focused on our ikigai

 

ที่มา: unsplash.com

อ่านมาถึงตรงนี้ พอจะนึกออกหรือยังว่าอิคิไกของคุณคืออะไร? หากยังไม่รู้ ภารกิจของเราคือตามหามันต่อไป..

ฉันเคยไม่มีความสุขจากการทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศ เลยพาตัวเองก้าวออกมาจาก comfort zone ลาออกมาเป็นฟรีแลนซ์นักแปลเพราะชอบภาษาอังกฤษ จะได้ทำในสิ่งที่ชอบในทุกๆ วัน พยายามมาถึงจุดหนึ่งจนอยู่ในจุดที่เลี้ยงชีพได้แม้ไม่ได้จบด้านภาษามาโดยตรง ฉันยังทำงานเขียนคอนเทนต์ควบคู่ไปด้วย ต่อยอดจากงานอดิเรกที่ชอบอย่างการเขียนบล็อก และยังคงตามหาจุดสมดุลของตัวเองด้วยการลุยสมัครงานกับองค์กรที่ทำเพื่อสิ่งแวดล้อมอยู่เรื่อยๆ เพราะอยากเป็นประโยชน์กับส่วนรวมให้มากกว่านี้ ตั้งใจไว้ว่าวันหนึ่งฉันคงมีอิคิไกในการทำงานของตัวเองเข้าสักวัน

การได้อ่านหนังสือดีๆ สักเล่มและเรียบเรียงออกมาผ่านบล็อกนี้เพื่อแชร์ต่อก็เป็นอิคิไกของฉันเหมือนกัน 🙂

การเป็นฟรีแลนซ์ทำให้ฉันต้องต่อสู้กับความขี้เกียจตัวเป็นขนของมนุษย์อยู่ตลอดเวลา ก่อนหน้านี้ฉันมักเผลอใช้เวลาไปกับการดูยูทูปมากจนเกินไป เลยหยิบ Kindle ขึ้นมาปัดฝุ่น ค้นหาหนังสือน่าอ่าน แล้วก็นึกถึงหนังสือ IKIGAI ที่เคยเจอใน co-working space แห่งหนึ่งขึ้นมา

หนังสือเล่มนี้ทำให้ฉันอยากลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง ตื่นเช้าขึ้นกว่าเดิม พยายามใช้เวลาให้ productive มากขึ้น เป็นมนุษย์ Multitask ให้น้อยลง กินอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น อยากจะหาหนังสือดีๆ อ่านเพิ่มขึ้น และรู้สึกได้เลยว่าทริป hiking กับเพื่อนเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาแอคทีฟกว่าที่เคย

อิคิไกไม่จำเป็นต้องเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ มันอาจไม่ใช่ชื่อเสียง เงินทอง อำนาจ หรือความสำเร็จ แต่อาจจะเริ่มจากจุดเล็กๆ อย่างการเป็นพ่อแม่หรือเพื่อนบ้านที่ดี ได้ทำตัวยุ่งๆ อยู่กับสิ่งที่คุณมีความสุขกับมัน ค่อยๆ เปลี่ยนโลกใบเล็กๆ ที่อยู่รอบตัวคุณ ได้ทำในสิ่งที่รักและได้อยู่ท่ามกลางคนที่รักคุณ หรือเราอาจจะเรียกสิ่งเหล่านี้อีกอย่างหนึ่งได้ว่า…

“ความหมายของชีวิต”

 

Okinawa trip, June 2017

 

2 Comments