26 Jun เที่ยวเวียนนา เมืองที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันงดงามเหมือนหยุดเวลาไว้
หลังจากที่ฉันย้ายมาอยู่ที่ประเทศเยอรมันกับสามีได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน ก็พากันจองตั๋วรถไฟจากเมืองไลพ์ซิกไปเที่ยวเวียนนาแบบฉุกละหุก เพื่อไปเยี่ยมเพื่อนคนจอร์เจียของเราที่อยู่ที่นั่น ก่อนที่เขาจะต้องบินกลับไปเรียนต่อที่ลิทัวเนีย ส่วนตัวฉันเองก็จะได้แวะเที่ยวเวียนนาเป็นครั้งแรก แล้วมีข้ออ้างไปเที่ยวช่วงวันเกิดครบรอบ 29 ปีของตัวเองด้วยซะเลย
ก่อนหน้านี้ฉันเคยไปเที่ยวออสเตรียมาก่อนแล้ว แต่แค่แวะไปเยี่ยมเพื่อนคนออสเตรียที่รู้จักกันสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่เมืองอินส์บรุคเท่านั้น เที่ยวออสเตรียคราวนี้เลยกะว่าจะเที่ยวนานหน่อย จะได้ทำความรู้จักกับประเทศออสเตรียให้มากขึ้น
เราวางแผนเที่ยวออสเตรียไว้คร่าว ๆ ทั้งหมด 12 วัน เดือนพฤษภาคม 2022 เริ่มทริปกันที่เมืองเวียนนา (Vienna) บราติสลาวา (Bratislave) ฮัลล์สตัทท์ (Hallstatt) อินส์บรุค (Innsbruck) และแอลป์บาค (Alpbach) ทั้งหมดเดินทางด้วยรถไฟ เราชอบนั่งรถไฟเที่ยวกัน เพราะราคาไม่แพงนัก ได้เห็นวิวสวย ๆ ตลอดทาง แล้วก็ยังเป็นตัวเลือกการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
วิธีซื้อตั๋วรถไฟจากเยอรมันไปเที่ยวเวียนนา ประเทศออสเตรีย
ไปเที่ยวเวียนนาประเทศออสเตรีย ด้วยรถไฟจากเมืองไลพ์ซิกประเทศเยอรมัน
การจองตั๋วรถไฟจากเยอรมันไปเที่ยวเวียนนา ประเทศออสเตรีย สามารถจองออนไลน์ได้ด้วยตัวเอง ผ่านเว็บไซต์ทางการของ Deutsche Bahn บริษัทรถไฟในเยอรมัน bahn.com/en เริ่มจากใส่ชื่อสถานที่ ชั้นรถไฟ พร้อมวันเวลาที่ต้องการเดินทาง แต่ถ้าไม่มีกำหนดเวลา ก็ลองเลือกเริ่มตั้งแต่เที่ยงคืนของวันก็ได้ เพราะในหนึ่งวันมีหลายเวลาและหลายเรทราคาให้เลือก เรามักเลือกเรทราคาที่ถูกที่สุด แต่ไม่เลือกที่ต้องแวะเปลี่ยนเครื่องเยอะจนเกินไปเพื่อกันพลาด เพราะหลายเสียงของคนที่เราเจอมักบอกว่ารถไฟในเยอรมันค่อนข้างจะเลทอยู่บ่อย ๆ
ขาแรกเราเลือกเดินทางตอนกลางคืนเพราะเจอตั๋วราคาถูก จะได้ประหยัดค่าที่พักไปได้อีกหนึ่งคืน พอจองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทางเว็บไซต์จะส่งไฟล์ PDF มาให้ผ่านอีเมล ก็ต้องปริ้นออกมาเก็บไว้เป็นหลักฐานสำหรับพนักงานตรวจตั๋ว สำหรับใครที่อยู่เยอรมันและชอบเดินทางด้วยรถไฟ Deutsche Bahn มีบัตรส่วนลดรายปีขายด้วย เราซื้อบัตร Bahncard 25 ที่ลด 25% สำหรับรถไฟชั้น 2 ในราคา 10 ยูโรเก็บไว้ (10 ยูโรเป็นราคาช่วงโปรโมชั่น ปกติ 56.90 ยูโร) จะได้รับส่วนลด 25% กับเส้นทางที่เข้าร่วมทุกครั้งตลอด 1 ปี ใครที่เดินทางในเยอรมันด้วยรถไฟบ่อย ๆ ก็ซื้อเก็บไว้กันได้
วิธีเดินทางเวลาเที่ยวเวียนนา
รถรางในเวียนนา
ความพยายามในการประหยัดค่าที่พัก 1 คืนด้วยการนั่งรถไฟขากลางคืนของเราลำบากกว่าที่คิด เพราะไม่ใช่รถนอน รถไฟชั้นสองเป็นที่นั่งแบบธรรมดา ไม่ได้นั่งสบายมาก ไฟยังเปิดสว่าง มีเสียงประกาศและคนเดินไปมาอยู่เนือง ๆ เลยหลับ ๆ ตื่น ๆ กันตลอดทาง พอมาถึง Wien HBf สถานีกลางของเวียนนาก็เลยยังเพลีย ๆ กันอยู่ ความรู้สึกตอนนั้นคืออยากถึงที่พักไว ๆ แล้ว…
ที่รอรถบัสในเวียนนา
ระหว่างที่รอรถบัส สามีชี้ป้ายที่อยู่หน้าร้านอาหารใกล้กันให้ดู เป็นป้ายที่มีชื่อของคนยิวที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่ แล้วถูกพาไปยังค่ายกักกันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง บนป้ายมีชื่อ วันที่เสียชีวิต และสถานที่ที่พวกเขาเสียชีวิต เพื่อเป็นการรำลึกถึงพวกเขาเหล่านั้น และเป็นการย้ำเตือนไม่ให้ลืมอดีตอันเลวร้ายที่เคยเกิดขึ้น
สามีบอกว่าแพ็คเกจอินเทอร์เน็ตที่ซื้อไว้จากเยอรมันสามารถเปิด roaming เพื่อใช้งานที่ออสเตรียได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ทำให้ใช้เช็ค Google Map ได้ตลอด พอมาถึงที่สถานีกลางเวียนนาแล้ว เราต้องนั่งรถรางสาย 18 ไปยังที่พักของเรา เดินลงมาด้านล่างแล้วตามป้ายรถรางหมายเลข 18 ไปเรื่อย ๆ และสามารถซื้อตั๋วรถรางข้างในรถได้เลย
ตู้ซื้อตั๋วบนรถรางในเวียนนา
เราวางแผนอยู่เที่ยวเวียนนาทั้งหมด 4 วัน วันแรกคงไม่ได้ไปไหนกันมาก เลยซื้อตั๋วแบบขาเดียวก่อน แต่วันต่อมาเพิ่งมาสังเกตเห็นว่ามีตั๋วรายอาทิตย์ขายในราคา 17.10 ยูโร (ประมาณ 630 บาท) ซึ่งคุ้มกว่ามาก นั่งได้ทั้งรถราง รถไฟฟ้าใต้ดิน และรถบัส ตั๋วหมดอายุวันอาทิตย์ แล้วเราจะนั่งรถไฟไปเที่ยวที่บราติสลาวากันต่อวันอาทิตย์พอดี
ตั๋วรถสาธารณะรายอาทิตย์สำหรับเที่ยวเวียนนา
จากประสบการณ์นั่งรถไฟในออสเตรียของเรา รถไฟออสเตรียค่อนข้างตรงเวลา หรือถ้าเลทก็แค่ไม่กี่นาที รถไฟขาต่อไปก็จะมาช้าเช่นกัน แล้วก็จะมีประกาศจากสถานที่ตลอดว่ารถไฟจะเลทกี่นาที การเดินทางตลอด 12 วันโดยรถไฟของเราเลยผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แม้ว่ามีบางครั้งต้องต่อเครื่องภายในไม่กี่นาทีก็ตาม เพราะแทรคมักจะอยู่ติดกันเลย แนะนำให้ไปถึงก่อนเวลา พอรถไฟมาจะได้รีบขึ้นไปจองที่นั่งดี ๆ แล้วก็เลือกที่ที่ไม่มีกระดาษจองพร้อมชื่อคนอยู่ (เคยนั่งไปที่นึง แล้วเจ้าของเขามายึดที่คืน)
ที่พักราคาถูกในเวียนนา
เรามักเลือกจองที่พักที่ราคาถูกที่สุด แต่ก็ไม่ได้แย่หรือเดินทางยากจนเกินไป จะได้ประหยัดค่าเดินทาง ทริปนี้เราเลือกจองที่พักสำหรับผ่าน Booking.com ส่วนใหญ่ หลังจากตอนที่กำลังหาที่พัก สังเกตเห็นที่พักที่เดียวกันใน Booking.com ราคาถูกกว่า Agoda เราจองที่พักกันค่อนข้างใกล้วันเดินทางเลยรู้สึกว่าไม่ค่อยเหลือที่พักดี ๆ ให้เลือกมากนัก
เด็กน้อยที่กำลังเป่าฟองสบู่ออกมาจากหน้าต่างอาคาร น้องโบกมือและยิ้มให้เราด้วย
ตู้หนังสือสำหรับแบ่งปันฟรี สามีเจอเล่มที่อยากอ่านหลายเล่มเลย ส่วนฉันที่ซื้อเก็บไว้ก็ยังอ่านไม่หมด
ที่พักของเราชื่อว่า West Apartment อยู่ไม่ไกลจากใจกลางเมืองมากนัก เดินทางไม่ยาก ค่อนข้างเรียบง่าย สะอาด ห้องน้ำในตัว มีห้องครัวให้ใช้บริการด้วย (กะว่าจะประหยัดค่าอาหารด้วยการทำอาหารเองบ้าง แต่ด้วยอำนาจของความขี้เกียจ สรุปกินข้างนอกกันแทบทุกวัน) ที่พักเป็นระบบ self check-in ไม่ต้องยุ่งกับใครดี รอบ ๆ ที่พักก็มีร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายของอิสระ โบสถ์ ถ้าได้พักนอกเมืองออกมาสักนิด ก็จะได้เห็นบรรยากาศอีกแบบของเวียนนา บรรยากาศของการใช้ชีวิตของผู้คนที่นี่จริง ๆ ร้านคาเฟ่ที่อยู่ไม่ไกลกันชื่อว่า Gota กาแฟอร่อย อาหารก็ดี นั่งหน้าร้านคือบรรยากาศชิลสุด
สถานที่ท่องเที่ยวเวียนนา ประเทศออสเตรีย
เราแวะกินชนิทเซิล (Schnitzel) ที่ร้านฟาสต์ฟู้ดระหว่างทางเดินไปขึ้นรถไฟไปเจอเพื่อนคนจอร์เจีย ดีนะสั่งมาที่เดียว ราคาประมาณ 8 ยูโร (300 บาท) ได้ชนิทเซิลไก่ 4 ชิ้นใหญ่ แถมเฟรนส์ฟรายอีกกองเบอเริ่ม สองคนที่หิวกันมาก ๆ ช่วยกันกินยังไม่หมดเลย หลังจากมื้อนั้นก็เลยได้บทเรียนว่า สั่งมาที่เดียวแล้วช่วยกันกินดีกว่า เพราะอาหารที่นี่จานใหญ่มาก แถมประหยัดค่ากินได้ด้วย
ถ่ายรูปไว้เพราะเห็นว่าตึกสวยดี มีกระถางต้นไม้ขนาดใหญ่บนตึกเต็มไปหมด พอมาสังเกตดี ๆ คือห้าง IKEA ที่อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ ออกแบบอาคารได้เก๋มาก!
ท้องอิ่มแล้วก็เดินไปขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินกัน ตั๋วรถไฟที่เราซื้อเป็นแบบรายเดือน เลยไม่ต้องเอาไปใส่เข้าเครื่องแสตมป์วันที่ก่อนขึ้นรถไฟ เราเดินทางมาเจอกับเพื่อนใกล้กับสวนสาธารณะ และนั่งพูดคุยกันพลอยให้หายคิดถึง เรารู้จักกันตอนฉันไปใช้ชีวิตและติดแหง็กช่วงโควิดที่ประเทศจอร์เจียนานถึงปีครึ่ง นัดเจอกันและไปเที่ยวด้วยกันเป็นประจำ หลายครั้งเป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันระหว่างมื้ออาหารง่าย ๆ ที่บ้าน พร้อมแก้วไวน์จอร์เจียในมือ
พูดแล้วก็คิดถึงจอร์เจียจัง…
เราค่อย ๆ เดินเล่นไปที่ใจกลางเมืองที่เป็นที่ตั้งของมหาวิหารขนาดใหญ่ ประดับด้วยป้าย “Stop War” ตกแต่งด้วยสีธงชาติของประเทศยูเครน สัญลักษณ์เช่นนี้พบได้ในหลาย ๆ สถานที่ของเวียนนา เช่นเดียวกับในตัวเมืองเบอร์ลิน และไลพ์ซิกเมืองที่เราอยู่ด้วย มีคนยูเครนต้องอพยพมาที่ยุโรปเยอะมาก ถ้าเดินทางด้วยรถไฟในสถานที่กลาง ก็จะเห็นว่ามีการทำจุดรอความช่วยเหลือสำหรับคนยูเครนที่อพยพมาที่เวียนนาไว้อยู่
มหาวิหารเซนต์สตีเฟ่น เวียนนา (St. Stephen’s Cathedral, Vienna, Australia)
มหาวิหารแห่งนี้มีชื่อว่ามหาวิหารเซนต์สตีเฟ่น เวียนนา (St. Stephen’s Cathedral, Vienna, Australia) ตั้งอยู่ในย่าน Stephansplatz เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 12 และยังคงได้รับการบูรณะและเสริมเติมแต่งเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ไฮไลท์ของที่นี่คือหลังคาที่ตกแต่งด้วยศิลปะกระเบื้องหลากสีเป็นลายนกอินทรีสองหัว สัญลักษณ์ของจักรพรรดิและราชวงศ์
ที่นี่เป็นที่ฝังร่างของกษัตริย์และคนดังของออสเตรียหลายคน รวมทั้งดยุคแห่งราชวงศ์ฮับส์บูร์ก รูดอล์ฟที่ 4 ผู้ก่อตั้งและวางศิลาฤกษ์สำหรับการบูรณะโบสถ์แบบโกธิกในปี ค.ศ. 1359 วันแรกที่เราไปถึงค่อนข้างเย็นแล้ว แต่ได้กลับไปใหม่อีกครั้งในวันต่อ ๆ มา หลังกินเค้กที่ร้าน Demel เสร็จ ตอนนั้นเขากำลังทำพิธีกันอยู่พอดี สามีไม่ได้เป็นคนเคร่งศาสนาอะไร แต่อยากให้เราเห็นพิธีใกล้ ๆ เลยลากเราเข้าไปในนั้นด้วย เพราะปกติเขาจะไม่ได้เปิดให้เข้าไป มีการบรรเลงเพลง ขับร้องเพลงจากไบเบิ้ลเป็นภาษาออสเตรีย ตอนใกล้จบจะมีคนเอาหมวกมาขอเงินบริจาค ให้เป็นเหรียญเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้
จากนั้นก็จะแจกแผ่นขนมปังชิ้นเล็ก ๆ ให้กับคนที่เข้ามาร่วมพิธี บางคนให้พระเป็นคนให้ป้อนให้ถึงปากเลย บางคนก็ยื่นมือออกไปรับ เราก็เนียนยื่นมือไปกับเขาด้วย จากนั้นก็ค่อย ๆ พากันปลีกตัวออกมา พร้อมแอบแชะภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก ตอนแรกว่าจะขึ้นไปดูวิวด้านบน แต่ก็เข้ามาในนี้ซะก่อน ดีเหมือนกัน ไม่ต้องเสียค่าตั๋วขึ้นไปบนหอคอย แต่ได้เป็นประสบการณ์อย่างอื่นแทน ก่อนหน้านี้เราเคยขึ้นหอคอยที่มหาวิหารโคโลญและซากราดาฟามิเลียมาก่อนแล้วด้วย พอไปเที่ยวโบสถ์หรือมหาวิหารหลาย ๆ ที่เข้า ก็ต้องยอมรับว่าความตื่นเต้นมันก็ค่อย ๆ น้อยลง คงไม่ต่างจากเวลาที่ฝรั่งไปเที่ยววัดนู่นวัดนี่บ้านเราจนต้องมีเบื่อกันบ้าง
อย่างไรก็ตาม มหาวิหารเซนต์สตีเฟ่น เวียนนาถือว่าเป็นหนึ่งในมหาวิหารที่ทั้งยิ่งใหญ่แล้วก็สวยงามมาก ควรค่าแก่การเข้ามาเยี่ยมชม แถมยังไม่ต้องเสียค่าเข้าด้วย การได้มาเดินอยู่ใจกลางเมืองเก่าของที่นี่ รู้สึกได้เลยว่าตัวเราเหลือเล็กนิดเดียวเท่านั้น ที่นี่ยังรายล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมของอาคารเก่าแก่มากมาย เห็นร่องรอยของความเจริญตั้งแต่ในอดีต ที่ยังคงถูกรักษาไว้อย่างดีมาจนถึงปัจจุบัน ยิ่งมีรถม้าหลายคันวิ่งให้นั่งท่องเที่ยวชมรอบ ๆ เมือง ยิ่งเพิ่มความขลังให้กับเวียนนาเข้าไปอีก (แม้กลิ่นของอุนจิน้องจะโคตรรบกวนตะหมูกอยู่ไม่น้อยก็เถอะ)
Palmenhaus และ Schmetterling Haus
ตอนหาข้อมูลเกี่ยวกับที่เที่ยวเวียนนา ก็ต้องมาสะดุดตาเข้ากับ Palmenhaus และ Schmetterling Haus ซึ่งตั้งอยู่ติดกันในสวนสาธารณะ Burggarten ร้านอาหาร Palmenhaus ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเวียนนา โดยความพิเศษอยู่ตรงที่เป็นร้านอาหารที่อยู่ท่ามกลางต้นไม้ในเรือนกระจก
เมนูอาหารมีทั้งแบบทั่วไปและแบบเมนูรายวัน เราตัดสินใจเลือกเป็นเมนูรายวัน เพราะได้ทั้งอาหารและขนมหวานในราคาที่ถูกกว่า สามีสั่งเป็นคีช (Quiche) กับกาแฟเย็น ส่วนฉันสั่งเป็นไก่อบครึ่งตัวพร้อมข้าว กับแอปเปิ้ลสตรูเดิ้ล (Apfelstrudel) ขนมประจำชาติของออสเตรีย (พนักงานเห็นว่าไม่ได้สั่งเครื่องดื่ม เลยเอาน้ำเปล่ามาเสิร์ฟให้เรา 2 แก้วด้วย)
คีช (Quiche)
เน้นอันที่เราอยากกินและไม่แพง ไม่ใช่ที่ถ่ายรูปสวย ฮ่า ๆ
จริง ๆ อยากสั่งเวียนนาชนิทเซิล (Vienna Schnitzel) อาหารประจำชาติของออสเตรียมาก แต่เพิ่งกินไปจุก ๆ เมื่อวาน พอมาวันนี้เลยไม่ตื่นเต้นกับมันเท่าไหร่แล้ว พนักงานเสิร์ฟน่าจะเป็นคนจีน ฉันพยายามพูดภาษาเยอรมันด้วยเพื่อฝึก เนื่องจากภาษาเยอรมันกับออสเตรียคล้าย ๆ กัน แต่เขาก็พูดภาษาอังกฤษกลับมาแทน แต่ฉันเห็นเขาพูดภาษาออสเตรียกับแขกคนอื่นคล่องมาก อิจฉาเลย อยากพูดเก่งแบบนั้นบ้าง สักวันหนึ่งเราจะพูดให้ได้แบบนั้นบ้าง…
แอปเปิ้ลสตรูเดิ้ล (Apfelstrudel)
ตอนเรียกเก็บเงิน ฉันจ่ายด้วยบัตรเครดิต พนักงานถามว่าต้องการให้ติ๊บด้วยไหม แล้วยื่นใบเสร็จกับดินสอให้เขียนจำนวนที่ต้องการ ฉันแทบไม่ได้เข้าร้านอาหารที่เรียกเก็บติ๊บบ่อยนัก เลยสตั๊นไปนิดนึงแล้วให้ไปประมาณ 10% ของมื้ออาหาร คิดซะว่าเป็นเหมือน service charge 10% ที่ไทย เพราะที่นี่เขาให้แยกต่างหาก ไม่มีคิดรวมในบิลมาก่อน สรุปคือที่นี่ทั้งอาหารอร่อย ขนมยิ่งอร่อย บรรยากาศก็ดี พนักงานก็ให้บริการดี ค่อนข้างประทับใจเลย
พออิ่มท้องเรียบร้อย ก็ไปนั่งย่อยกันต่อที่ Schmetterling Haus ที่ตั้งอยู่ติดกัน พอได้เข้ามาที่นี่จริง ๆ ก็ดีกว่าที่คิดไว้ ที่นี่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ผีเสื้อในเรือนกระจก ขนาดของเรือนกระจกไม่ใหญ่มาก แต่มีผีเสื้อเยอะมาก หลายสี หลายขนาด บินรอบตัวเราไปมาแบบไม่กลัวคน บางที่ก็เกาะอยู่นิ่ง ๆ ตามต้นไม้ดอกไม้ให้เราสงสัยเล่นว่าตัวจริงหรือตัวปลอมกันแน่ ทำไมนิ่งถึงขนาดนี้ บางที่ก็เกาะตามตัวคนไปเลย แต่ดันไม่มาเกาะเราเหมือนกับคนอื่นบ้าง
ขนาดผู้ใหญ่ยังรู้สึกสนุกขนาดนี้ ยิ่งเด็ก ๆ ก็ยิ่งชอบกันใหญ่ เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เราอมยิ้มมีความสุขได้ตลอด ราคาค่าตั๋วอยู่ที่ 8 ยูโรต่อคนคือคุ้มมาก
สวน Burggarten
ฉันเคยไปบ้านผีเสื้อที่สวนรถไฟ แต่ข้างในค่อนข้างใหญ่ และผีเสื้ออาจจะไม่ได้มีเยอะมาก เลยไม่ค่อยได้เห็นใกล้ ๆ แบบนี้ ถ้ามีเวลาก็มาแวะนั่งเล่นดูผีเสื้อบินไปมารอบ ๆ ที่นี่ก็เพลินแล้วนะ ก่อนไปห้องสมุดแห่งชาติออสเตรียกันต่อ เราแวะนั่งเล่นที่สวน Burggarten กันสักพักก่อนเดินลุยแดดต่อ
หอสมุดแห่งชาติออสเตรีย (National Library Vienna)
ฉันลองค้นหาที่เที่ยวเวียนนาดูแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นพระราชวังและพิพิธภัณฑ์ซะมาก ที่กลัวว่าพอไปแล้วจะไม่ค่อยอินเท่าไหร่ ฉันเลยเลือกมาสักที่หนึ่ง เป็นหอสมุดแห่งชาติออสเตรีย (National Library Vienna) หนึ่งในห้องสมุดที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดของโลก
ค่าเข้าหอสมุดแห่งชาติออสเตรียราคา 8 ยูโร (ประมาณ 300 บาท) เข้ามาข้างในไม่ได้ใหญ่มากแต่สวย เป็นความสวยงามสไตล์บาโรกที่พระเจ้าชาร์ลที่ 6 เป็นคนสั่งให้ออกแบบ มีหนังสือเก่า ๆ และทรงคุณค่าของชาติมากมายถูกเก็บไว้ที่นี่ รวมทั้งคัมภีร์ไบเบิ้ลเก่าแก่ที่ถูกรักษาไว้อย่างดีด้วย
Naschmarkt
Naschmarkt เป็นตลาดนัดเก่าแก่ของเวียนนาตั้งแต่ในปีค.ศ. 1820 โดยคำว่า Nasch มาจากคำว่า naschen แปลว่า to eat sweets ที่นี่เต็มไปด้วยขนมและของหวานจากต่างประเทศมากมาย โดยเฉพาะจากประเทศตุรกี อย่างเช่นเปลือกส้มและอินทผลัม ที่ยังมีขนาดอยู่ในตลาดมาจนถึงทุกวันนี้ วันที่เราไป Naschmarkt กะว่าจะไปหาอะไรกินแปป ๆ แล้วไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติกันต่อ แต่ฝนดันตก เลยอยู่ที่ตลาดกันยาวซะจนไปพิพิธภัณฑ์ไม่ทัน ก็ปลอบใจตัวเองกันไปว่าไม่ใช่ที่เวียนนาที่เดียวที่มีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ พลาดครั้งนี้ก็ไม่เป็นไร
ร้าน Umarfisch Michelin Guide 2022
ที่นี่มีร้านรวงมากมาย ขายทั้งเสื้อผ้า ของใช้ ผักผลไม้ ดอกไม้ ไอศกรีม สมุนไพร อาหารแห้ง และขนมหวาน ฉันกับสามีชอบกินขนมหวานตุรกีที่เรียกว่าบาคลาวา (Baklava) มาก แล้วที่นี่ก็มีขายเพียบ แถมมีหลายแบบด้วย เราเลยแวะซื้อบาคลาวาแบบธรรมดาแล้วก็ไส้มะพร้าว 2-3 ชิ้นกินกันดู หวานเจี๊ยบแบบแสบคอเช่นเคย แต่ที่นี่น่าจะทำกันแบบสด ๆ ใหม่ ๆ เลย อร่อยดี
ที่นี่ยังมีร้านอาหารเยอะมาก ทั้งออสเตรีย อิตาเลี่ยน และเอเชีย ท้าย ๆ ตลาดมีอาหารทะเลสด ๆ ขาย พร้อมเปิดร้านอาหารควบคู่ไปด้วย เราเลยมาเตะตาเข้ากับร้าน Umarfisch ซึ่งติดป้าย Michelin Guide 2022 ไว้อยู่ ร้านตั้งชื่อด้วยคำว่า fisch ที่แปลว่าปลา หลังจากที่เห็นปลาสด ๆ เรียงรายอยู่หน้าร้าน เราเลยขอให้พนักงานช่วยแนะนำเมนูปลาให้หน่อย เพราะเมนูมีให้เลือกเยอะมากจนไม่รู้ว่าจะเลือกอะไรดี
มันบดทรัฟเฟิล
แล้วก็เป็นไปตามคาดคือเป็นปลาย่างที่เสิร์ฟพร้อมเกลือและมะนาว เพราะที่นี่ไม่ได้ปรุงรสอาหารเยอะเหมือนไทย และเน้นรสชาติของวัตถุดิบจริง ๆ กินคู่กับไวน์ขาวสักแก้ว ส่วนเครื่องเคียงเราสั่งเป็นมันบดทรัฟเฟิล เป็นการกินทรัฟเฟิลเป็นครั้งแรกของฉันเลย แต่รู้สึกว่าไม่ค่อยชอบกลิ่นมันเท่าไหร่ พนักงานดูแลดี บรรยากาศภายในร้านก็ดี เป็นอีกหนึ่งมื้ออาหารที่ดีในเวียนนาของเรา
หลังจากนั้นเราก็ไปเจอกับเพื่อนคนจอร์เจียกันที่ Stadtpark กะว่าจะพาเพื่อนไปเปิดประสบการณ์ดื่มเบียร์กันที่ Biergarten ร้านอาหารแบบดั้งเดิมสไตล์เยอรมันและออสเตรีย พอมาถึงที่นี่ก็กำลังมีงานอีเวนต์อยู่พอดี มีร้านมาเปิดบูธขายอาหารและเครื่องดื่มกันมากมาย ใครซื้อเครื่องดื่มที่นี่สามารถถือแก้วเดินเล่นรอบงานหรือนั่งเล่นในสวนก่อนได้ แล้วค่อยเอาแก้วมาคืนพร้อมรับเงินคืน
Stadtpark
สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน Stadtpark
ที่อีเวนต์บรรยากาศค่อนข้างสนุก เครื่องดื่มอร่อย มีคนออกมาแฮงค์เอ้าท์ในสวน และแลกเปลี่ยนบทสนทนากันเยอะมาก แต่ที่ Biergarten ที่เราตั้งในมากจริง ๆ อาหารกลับรสชาติเฉย ๆ แถมพนักงานยังบริการไม่ดีอีกต่างหาก รีบมาเก็บจานทั้งที่ยังกินไม่เสร็จบ้าง ไม่บอกว่าร้านใกล้จะปิด แต่เดินมาหุบร่มที่โต๊ะเราโดยไม่พูดอะไรสักคำ ผิดหวังมากแต่ก็พาพูดเล่นกับเพื่อนแบบติดขำกันไป
Hundert Wasser
วันสุดท้ายของเราที่เวียนนา สามีชวนไปดูงานสถาปัตยกรรมของ Hundert Wasser เขาบอกเราว่าถ้าชอบผลงานของเกาดี (Gaudi) ที่บาร์เซโลนา ก็น่าจะชอบผลงานของ Hundert Wasser ด้วย
“The straight line leads to the downfall of humanity”
Hundertwasser มีชื่อเดิมว่า Friedensreich Stowasser เขาเป็นทั้งจิตรกร สถาปนิก นักเคลื่อนไหวด้านระบบนิเวศ และนักปรัชญา ผลงานของเขามีความสำคัญอย่างมากต่อศิลปะสมัยใหม่หลังสงคราม และยังเป็นหนึ่งในศิลปินที่มีชื่อเสียงอย่างมากในยุโรปด้วย เขาต้องการสร้างสถาปัตยกรรมที่กลมกลืนกับธรรมชาติ เพราะเชื่อในพลังแห่งธรรมชาติและความสร้างสรรค์ที่มีอยู่ในตัวของแต่ละคน
Hundertwasser สร้างโปรเจกต์ด้านสถาปัตยกรรมที่ให้คนสามารถเพนต์บริเวณหน้าต่างของตัวเองได้ ปลูกต้นไม้ที่หลังคาและบริเวณต่าง ๆ ของอาคาร หรือสร้างพื้นที่ไม่เท่ากัน เพราะเขาต้องการให้เกิดความหลากหลาย และแตกต่างไปจากตึกอื่น ๆ ที่เป็นแบบศิลปะจินตนิยมแล้วก็หน้าตาเหมือนกันไปซะหมด เขายังชอบปลูกต้นไม้ สร้างแคมเปญด้านสิ่งแวดล้อม ปกป้องน้ำ และต่อสู้เพื่อสังคมที่ไร้ปราศจากของเสียมาตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 20 ด้วย
พอไปถึงที่ Hundertwasser House ก็จะเห็นคนกำลังมุงถ่ายรูปตัวอาคารกันอยู่พอดี เป็นอาคารที่โดดเด่นมาแต่ไกล เพราะเต็มไปด้วยสีสัน รูปทรงโค้งงอ และต้นไม้เต็มไปหมด Hundertwasser House เป็นอพาร์ทเมนต์ที่สร้างขึ้นในช่วงค.ศ. 1983 – 1985 เจ้าของห้องสามารถเพ้นท์สีเพื่อตกแต่งรอบ ๆ หน้าต่างของตัวเองได้ มีการปลูกต้นไม้บนตัวอาคารมากกว่า 200 ต้น พอเดินเข้าไปข้างในก็จะมีลานน้ำพุเล็ก ๆ ไม่ได้อนุญาตให้คนเข้าไปข้างในได้
แต่กันข้ามกันจะมีร้านขายของที่ระลึกที่ศิลปินเป็นคนสร้างขึ้นตั้งแต่ในช่วงปีค.ศ. 1990 แล้วก็มีคาเฟ่อยู่ติดกับตัวอาคารด้วย พวกเขาเดินเล่นที่ร้านขายของที่ระลึกกัน อ่านเรื่องราวของ Hundertwasser ที่ติดอยู่ตามที่ต่าง ๆ แล้วก็มานั่งดื่มเครื่องดื่มที่คาเฟ่กันต่อ ตอนแรกว่าจะเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ด้วย แต่พิพิธภัณฑ์จริง ๆ ที่อยู่ Kunst Haus Wien ซึ่งเป็นอาคารอีกหลังหนึ่ง
ที่ Kunst Haus Wien มีร้านขายของที่ระลึก แล้วก็ร้านอาหารบรรยากาศน่านั่งอยู่ด้วย แต่พอเราไปถึงก็ใกล้ช่วงเวลาที่พิพิธภัณฑ์จะปิดซะแล้ว แถมร้านอาหารก็ไม่รับสั่งอาหารแล้วด้วย เราเลยได้แต่เดินเล่นอยู่ในร้านขายของที่ระลึก ที่นี่มีทั้งอุปกรณ์ศิลปะ ภาพวาด หรือหมวกจำลองสุดติสแบบที่ Hundertwasser ชอบใส่ด้วย เราเลยซื้อกำไรที่ร้อยด้วยลูกปัดหลากหลายแบบ ที่เห็นแล้วชวนให้นึกถึงงานศิลปะสไตล์ Hundertwasser เก็บไว้เป็นที่ระลึก
ฉันชอบทั้งงานศิลปะและอยากใช้ชีวิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นทุก ๆ วัน เลยอินมากหลังจากที่ได้เห็นผลงานและอ่านเรื่องราวของ Hundertwasser งานสถาปัตยกรรมที่ทั้งสร้างสรรค์ ถ่อมตน แล้วก็มีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก แล้วก็ยิ่งน่าทึ่งเข้าไปอีกเมื่อรู้ว่าอาคารเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อเกือบ 40 ปีที่ผ่านมา มีคนตื่นตัวและใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมาตั้งนานแล้ว
ท่ามกลางสถาปัตยกรรมและอาคารเก่าแก่ของเวียนนา มีอาคารที่กล้าแหวกแนวและแตกต่างรอให้คุณไปค้นพบอยู่…
Demel
คาเฟ่ Demel เป็นร้านที่อยู่ในรายการคาเฟ่แนะนำต้น ๆ ของเวียนนา ฉันอยากไปที่นี่เพื่อไปลองกินเค้กช็อกโกแลตแบบดั้งเดิมสไตล์เวียนนาที่ชื่อว่า Demels Sachertorte
ร้านตั้งอยู่ในใจกลางเมืองเลย พนักงานเฟรนลี่ แล้วบรรยากาศข้างในก็ดีมาก เหมือนหลุดเข้าไปในคาเฟ่สมัยก่อน แถมกลิ่นหอมของเบเกอรี่อบใหม่ ๆ อวลไปทั่วห้อง คาเฟ่ Demel เปิดมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1786 เป็นร้านที่นิยมของหมู่ชนชั้นสูง รวมทั้งจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟที่ 1 และเอลิซาเบธด้วย
Cafe Central
หลังจากไปที่ Kunst Haus Wien กัน เราก็แวะกินข้าว แล้วมาต่อกันที่ Cafe Central เป็นที่สุดท้ายของเราที่เวียนนา ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ผิดเลย เพราะที่นี่ขนมเค้กอร่อย เครื่องดื่มเสิร์ฟพร้อมช็อกโกแลตชิ้นเล็ก ๆ รสชาติดี พนักงานดูโปรแล้วก็เซอร์วิสดีมาก ตัวอาคารสวยทั้งข้างในและข้างนอก แถมมีศิลปินมาเล่นเปียโนให้ฟังแบบสด ๆ ด้วย ฟินนน
เอกลักษณ์ของที่นี่น่าจะเป็นเค้กที่ผสมแอลกอฮอล์ เราลองแล้วกลิ่นแอลกอฮอล์ไม่แรงเลย แถมอร่อยอีก ต้องรอคิวสักนิด แต่คุ้มมาก
ความพิเศษของที่นี่อีกอย่างนอกจากจะของกินอร่อยและบรรยากาศดีแล้ว Cafe Central เป็นคาเฟ่เก่าแก่ที่เปิดมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1876 และเป็นที่ที่เหล่านักคิดและนักเขียนชื่อดังเคยมาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น นักปฏิวัติรัสเซียทรอตสกี นักจิตวิเคราะห์ชื่อดังซิกมันด์ ฟรอยด์ และนักเขียนที่มีชื่อเสียงอีกมากมาย
โดนพนักงาน Photo Bomb ใส่ ฮ่า ๆ น่ารัก
สำหรับฉัน เวียนนาเป็นเมืองที่ทั้งสวยและมีเสน่ห์ เต็มไปด้วยกลิ่นอายของประวัติศาสตร์อันยาวนาน และความงามครั้งอดีตที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี แต่ท่ามกลางความงามที่ดูออกจะสมบูรณ์แบบไปซะหมดนั้น ก็ยังมีพื้นที่ให้กับตู้หนังสือสาธารณะ เด็กที่ออกมาเป่าฟองสบู่เล่นข้างหน้าต่าง อาคารที่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอย่างผลงานของ Hundertwasser สวนริมแม่น้ำที่เต็มไปด้วยภาพกราฟิตี้และที่นั่งพัก หรือแม้กระทั่งกางเต็นท์ที่ national park กลางเมืองเวียนนา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเวียนนาถึงถูกเลือกให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกเมื่อไม่นานมานี้
เวียนนามีสถานที่ที่น่าสนใจอีกเยอะมากกก แต่ให้ไปทั้งหมดก็คงไม่ไหว (หมายถึงเงินในกระเป๋า) เราไม่อยากไปเที่ยวแบบอัดหลาย ๆ ที่ไว้ในวันเดียว ครั้งนี้ก็เลยเลือกแต่ที่ที่เราสนใจจริง ๆ แต่ถ้าได้มีโอกาสกลับมาเที่ยวเวียนนาอีกครั้ง (หวังว่าจะได้กลับมาอีก) ก็อยากจะไปตามรอยสถานที่สุดฮิตสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างชมภาพวาดชื่อดัง “The kiss” ที่พระราชวัง Belvedere เข้าพิพิธภัณฑ์ของคนดังที่รู้จักกันทั่วโลกอย่างซิกมันด์ ฟรอยด์และโมซาร์ท แวะนั่งเล่นชิล ๆ ที่ MuseumsQuartier เข้าพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และธรรมชาติเวียนนา และเดินเล่นท่ามกลางธรรมชาติกลางเมืองที่ The Lobau ด้วย..
ร้านไอศกรีมวีแกนที่เวียนนา Veganista
ไว้เจอกันใหม่นะเวียนนา Auf Wiedersehen Wien!
เขียนโดย: ตรีสุคนธ์ ทาไลคิส
ฟรีแลนซ์นักแปลและนักเขียนคอนเทนต์ไทยและอังกฤษ
นั่งรถไฟไปเที่ยวบราติสลาวา เมืองหลวงสีเขียวแห่งสโลวาเกีย - Take Me Away
Posted at 15:28h, 11 July[…] สำหรับใครที่มาเที่ยวเวียนนาแล้วอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ก็ลองนั่งรถไฟแค่ชั่วโมงกว่า ๆ มาเที่ยวที่บราติสลาวากันได้ พาตัวเองมาอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ เดินเล่นสูดโอโซนกันให้เต็มปอดกันที่ Bratislava Forest Park ทานอาหารท้องถิ่น เดินเล่นชมเมืองเก่าของบราติสลาวา เมืองเล็ก ๆ ที่ให้คุณชมความงามได้แบบไม่วุ่นวาย และลองคุยกับคนที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ เพราะนั่นอาจจะเป็นบทสนทนาดี ๆ ที่ทำให้ทริปของคุณน่าจดจำมากขึ้นไปอีก […]