เคล็ดลับวิธีเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองสำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานเลยจากอาจารย์จุนเท Banana Engrich

เคล็ดลับวิธีเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองสำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานเลยจากอาจารย์จุนเท Banana Engrich

Image credit: facebook.com/bananaengrich

โพสต์นี้ตั้งใจเขียนขึ้นมาเพื่อคนที่คิดว่าตัวเองยังอ่อนภาษาอังกฤษอยู่ และอยากจะพัฒนาภาษาอังกฤษของตัวเองให้ดีขึ้น อยากจะรู้วิธีพัฒนาตัวเองให้พูดภาษาอังกฤษได้เพื่อเป็นประโยชน์ในการสื่อสารกับชาวต่างชาติให้มากขึ้น ทั้งสำหรับการทำธุรกิจ ใช้ภาษาอังกฤษในการทำงาน ใช้สื่อสารเวลาไปเที่ยวต่างประเทศ หรือแม้กระทั่งใช้ในชีวิตประจำวันเองหากได้พบเจอกับชาวต่างชาติเข้า วันนี้เรามีเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับวิธีเรียนภาษาอังกฤษสำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานเลยมาฝากจากการเข้าคลาสเรียนกับอาจารย์จุนเท Banana Engrich ค่ะ

Image credit: facebook.com/bananaengrich

เริ่มแรกอาจารย์จุนเทก็ได้แนะนำตัวให้พวกเราได้รู้จักกัน และได้ให้ทุกคนในห้องได้แนะนำตัวกันสั้นๆด้วย มีคนมากมายมาจากหลายสาขาอาชีพที่มาเรียนในวันนี้ไม่ว่าจะเป็น นักเรียนมอปลาย พนักงานบริษัท พิธีกร นักธุรกิจขายปลาแซลมอน ทหารเรือ Youtuber Wedding Planner Creative ช่างถ่ายภาพ หรือฟรีแลนซ์อย่างเรา และอื่นๆอีกมากมาย นี่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะมาจากสาขาวิชาชีพใดๆก็ล้วนจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษในการทำงานกันทั้งสิ้น ภาษาอังกฤษสำคัญมากสำหรับทุกคนจริงๆ

ส่วนอาจารย์จุนเทเคยเรียนที่ประเทศอินเดียและนิวซีแลนด์มาก่อน ผ่านการทำงานมาหลากหลายรูปแบบทั้งเซลล์ขายของ จัดกิจกรรม English Camp ให้กับนักเรียนมัธยม พิธีกรภาษาอังกฤษ และปัจจุบันเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ และ CEO ของ Banana Engrich จัดกิจกรรมเทรนให้พนักงานจากบริษัทชั้นนำต่างๆมากมายและรับสอนภาษาอังกฤษแบบ Private เน้นการเรียนแบบสนุกสนานและเน้นภาคปฏิบัติให้กับผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนค่อยๆพัฒนาตัวเองจากความรู้ภาษาอังกฤษที่ตัวเองมีจากร่ำเรียนมาตลอดหลายสิบปีจนพัฒนาขึ้นเรื่อยๆอย่างเห็นได้ชัดผ่านการลงมือทำ ทั้งการทำการบ้านส่งและ Mission ต่างๆที่จะได้รับเพื่อการฝึกฝนภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติโดยตรง เพราะอาจารย์เชื่อว่าทุกทักษะย่อมเกิดจากการลงมือทำเสมอ เพราะสมองของเราก็ต้องการการฝึกฝนไม่ต่างจากกล้ามเนื้อนั่นแหละ ต้องหมั่นใช้งานเยอะๆถึงจะแข็งแรง เห็นด้วยกันใช่ไหมล่ะคะ เราว่าเป็นเรื่องจริงที่สุด

โชคดีที่ได้มามีโอกาสมาเทรนและได้รับพลังบวกมากมายกลับมา อาจารย์จุนเทพัฒนาตัวเองมาตลอดกว่าจะมาจนถึงจุดนี้ อาจารย์เล่าให้ฟังว่าแต่ก่อนที่รับงานพิธีกรเริ่มต้นเพียง 1,000 บาทต่อวัน เวลาผ่านไป อาจารย์พัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ จน rate เป็น 15,000 ล่าสุด เป็นพิธีกรให้ที่ Sentosa สิงคโปร์ ค่าตอบแทนวันละ 45,000 บาท ตลอดเวลา 7 ปีที่ผ่านมา อาจารย์เป็นแบบอย่างในการพัฒนาตัวเองอย่างตั้งใจอย่างแท้จริง ขอบคุณที่แบ่งปันเรื่องราวและประสบการณ์เหล่านี้ ทำให้เราอยากทุ่มเทแรงกายแรงใจให้ตัวเองได้พัฒนาขึ้นบ้าง สำหรับใครที่อยากเรียนการเป็นพิธีกรภาคภาษาอังกฤษ อาจารย์ก็มีเปิดสอนสำหรับผู้ที่สนใจเช่นกันค่ะ

เกริ่นมาเสียยืดยาว มาพูดถึงกิจกรรมในวันเทรนกันบ้างดีกว่า อาจารย์พาพวกเราเล่นกิจกรรม Ice breaking เพื่อให้คนที่มาเทรนในวันนี้มีส่วนร่วมกับกิจกรรมมากขึ้นเพราะอาจารย์ไม่อยากให้เกิดบรรยากาศแบบมาคุ บรรยากาศในลิฟต์ที่ทุกคนต้องเงียบและต่างคนต่างรู้สึกอึดอัด อาจารย์อยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมแบบ 100% เพื่อรับประโยชน์ในวันนี้ไปให้มากที่สุด สนุกกับการเรียนรู้ ไม่รู้สึกเขินอาย และกล้าพูดกับเพื่อนๆในคลาสเรียนมากขึ้น ด้วยกิจกรรม International greeting ทักทายเป็นภาษาต่างๆพร้อมท่าทางตลกๆ ให้ได้เล่นกันสนุกสนานพร้อมเสียงหัวเราะกัน จากนั้นเราก็เล่นเกมเรียงแถวกันตามวันเกิด เพื่อนับเลขและแบ่งกลุ่มกันเพื่อทำกิจกรรมกันต่อ..

เมื่อได้แบ่งกลุ่มกันแล้ว อาจารย์ก็ให้พวกเราได้ช่วยกันลิสต์ถึงปัญหาในการพูดภาษาอังกฤษกัน เพื่อหาวิธีแก้ไขร่วมกันในภายหลัง เพื่อนๆที่กำลังอ่านโพสต์นี้อยู่มาร่วมเล่นด้วยได้นะคะ ลองจับเวลา 5 นาทีดู แล้วลองคิดและเขียนออกมาสิว่า ปัญหาอะไรที่เรามีในการเรียนภาษาอังกฤษกันบ้างนะ?

1. …

2. …

3. …

4. …

5. …

ถ้าเขียนของตัวเอง เสร็จแล้ว มาลองดูคำตอบของกลุ่มเรากันบ้าง น่าจะมีคำตอบที่คล้ายๆกันนั่นแหละค่ะ

1. อาย กลัวพูดผิด

2. ประหม่า ตื่นเต้น

3. ไม่รู้โครงสร้างประโยค

4. ต่อประโยคไม่ได้เพราะไม่รู้คำศัพท์

5. มีปัญหาเรื่องการฟัง เพราะฝรั่งพูดเร็ว พวกเราฟังไม่ทัน

6. ไม่รู้สำนวนภาษาอังกฤษ

7. คิดไทยก่อนค่อยแปลเป็นอังกฤษทำให้ช้า

นี่คือปัญหาที่ทำให้คนไทยไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ที่พวกเราในกลุ่มช่วยกันคิดและเขียนออกมา ซึ่งอาจารย์ก็ให้คำตอบกับพวกเราได้อย่างน่าสนใจว่าจริงๆแล้ว เจ้าของภาษาแต่ละภาษาจะรู้คำศัพท์ของภาษาตัวเองอยู่ที่ประมาณ 20,000 คำด้วยกัน หรือมากกว่านั้นอีกนิดหน่อยจากคำศัพท์เฉพาะของแต่ละสายอาชีพของแต่ละคนที่ได้ร่ำเรียนกันมา ซึ่งก็มีวิธีการเรียนรู้คำศัพท์กันอยู่ อาจไม่ใช่การนั่งท่องศัพท์แบบปาวๆๆ แต่เป็นการเรียนรู้ผ่านเพลงและหนัง เพราะเราไม่ได้มีโอกาสใช้ภาษาอังกฤษเยอะ เพราะฉะนั้นการเรียนผ่านเพลงและหนังเป็นสิ่งที่เราเริ่มทำได้ด้วยตัวเองในทุกๆวัน

เรื่องการฟังอยู่ที่ความเคยชิน อาจารย์แนะนำให้เราฟังให้เยอะ ผ่านการฟังเพลงที่เราชอบ เปิดดูเนื้อเพลงพร้อมความหมายแล้วเราจะอินและเข้าใจได้ง่ายขึ้นเพราะเกิดจากการเรียนรู้และพยายามเข้าใจเพลงที่เราชอบ ดูหนังไทยซับอังกฤษเพื่อดูว่าถ้าพูดภาษาไทยแบบนี้ ภาษาอังกฤษเค้าว่ายังไง อย่างเช่นคำว่ากิ๊กในภาษาไทย ภาษาอังกฤษคืออะไร? มีใครทราบไหมคะ? เราเองก็ไม่รู้ อาจารย์เฉลยให้ทีหลังว่าอาจจะใช้คำว่า secret lover หรือจริงๆเค้าใช้กันเป็นคำว่า side chicks ที่แปลอารมณ์เหมือนกับว่าเป็นลูกไก่ในกำมือนั่นแหละ chick เป็นสแลงที่ใช้สำหรับเรียกผู้หญิง หรืออย่าการที่คนเลิกกัน ภาษาอังกฤษคืออะไร ? ก็จะเป็น We are done. หรือ We are end.

เราจะได้เรียนรู้ศัพท์อื่นๆอีกมากมายจากการดูหนังว่าเวลาเค้าพูดเค้าพูดกันอย่างไร เรื่องการเรียนผ่านเพลงนี่เราก็เห็นด้วยมาก เพราะตอนเด็กๆก็ไม่ค่อยชอบภาษาอังกฤษ แต่เริ่มค่อยๆเรียนรู้ผ่านเนื้อเพลงจากเพลงที่เราชอบนี่แหละ มีอยู่วันนึงที่คลาสเรียนภาษาอังกฤษสมัยมอปลาย อาจารย์ให้เราแปลเพลงจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย ตอนนั้นชอบมาก Taylor Swift ฮ่าๆ เราก็นั่งฟัง ค้นหาคำแปลเพลงที่มีมากมายอยู่ในกูเกิล พอรู้ความหมายแล้วแล้วก็นั่งร้องตามแบบอินๆ สนุกดี จากนั้นก็เริ่มค้นหาความหมายเพลงที่ตัวเองชอบแม้จะไม่ได้รับการบ้านมา จากเด็กที่ไม่ชอบภาษาอังกฤษเพราะรู้สึกว่ามันยากจนเริ่มทำให้เราค่อยๆชอบภาษาอังกฤษ เปิดใจเรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆเพราะเรารู้ว่ามันสำคัญ

อาจารย์เชื่อว่าการเรียนรู้ภาษาอังกฤษที่ดีต้องเกิดจาก 3 อย่างนี้ก็คือ

  • Environment บรรยากาศที่ดีจะทำให้เราเรียนรู้ได้ดี บรรยากาศจะควบคุมเรื่องการแสดงอารมณ์ของเรา
  • Emotion รู้สึกสนุกและชอบในสิ่งที่กำลังทำ
  • Brain ความรู้สึกจะควบคุมและสั่งการสมองให้ลงมือทำ
  • Activity ก็เกิดเป็นการเรียนรู้ผ่านการกระทำขึ้นมา

 

มีเพลงภาษาอังกฤษเพลงไหนที่เพื่อนๆชอบบ้าง มานั่ง search หาเนื้อเพลง (Lyrics) เพื่อเรียนรู้ภาษาอังกฤษผ่านเพลงกันดีกว่า

เรื่องการคิดไทยก่อนค่อยแปลเป็นอังกฤษทำให้ช้า จริงๆแล้วไม่ใช่สิ่งที่ผิด และเป็นพื้นฐานในการเรียนภาษาอังกฤษขั้นเริ่มต้น อาจารย์เล่าให้ฟังว่าตอนไปเรียนที่อินเดียแรกๆอาจารย์ไม่ได้ภาษาอังกฤษเลย แต่ก็ค่อยๆเรียนรู้จากการแปลเพลงไทยเป็นภาษาอังกฤษให้กับคนที่ชอบที่นั่งข้างๆกัน ฮ่าๆ และเกิดจากการเขียน lecture ตามอาจารย์บนกระดาน จนสามารถฟังที่อาจารย์พูดและเขียนเล็กเชอร์ตามที่อาจารย์สอนได้ในที่สุด เป็นไปตามขั้นตอนของมันเอง อาจารย์ได้เริ่มเรียนรู้เรื่องการเขียนอย่างมากมาจากสิ่งนี้ เราสามารถเริ่มฝึกจากการคิดจากไทยเป็นอังกฤษนี่แหละ และหมั่นใช้บ่อยๆ จนเราคิดได้เร็วขึ้น เมื่อบวกเข้ากับการเรียนรู้ประโยคจากการซึบซับผ่านการดูหนังและฟังเพลง จะทำให้เราค่อยๆเข้าใจการคิดจากอังกฤษพูดเป็นอังกฤษได้มากขึ้น จากการซึมซับนี้จะทำให้เราสามารถคิดและตอบได้เร็วขึ้น ซึมซับโครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษที่เราดูหรือจากการคุยกับชาวต่างชาติ หลังจากที่เราเริ่มคุ้นชินแล้ว จะไปเปิดหนังสืออ่านแกรมม่าทีหลังก็จะเข้าใจขึ้นได้มากกว่าเดิม

ส่วนเรื่องอาย กลัวพูดผิด ลองคิดในทางกลับกัน ถ้าฝรั่งเค้าพูดไทยกับเรา สิ่งที่เรารู้สึกกันก็คงจะภูมิใจ และให้กำลังใจใช่ไหมคะ ไม่มีใครมานั่งจำผิดกันให้เหนื่อย เพราะฉะนั้นเราพูดไปเลย แล้วค่อยๆแก้ไขจากความผิดพลาดนี่แหละ จำวิธีที่ถูกไว้แล้วครั้งหน้าเอาใหม่ คราวนี้พูดให้ถูก หากใครที่ตื่นเต้นมากๆ ให้รู้ไว้ว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนก็ต้องเผชิญไม่ต่างกัน แม้กระทั่งอาจารย์เองที่ผ่านมาหลายร้อยเวทีก็ยังตื่นเต้นอยู่ อาจารย์สัมภาษณ์นักเรียนอีกคนวันนี้ที่ทำงานเป็นพิธีกรก็เล่าให้ฟังว่าช่วงแรกๆที่เพิ่งทำงานพิธีกรภาษาอังกฤษก็ตื่นเต้น อะไรจะเกิดขึ้น สถานการณ์ในวันงานจะเป็นอย่างไร ทุกวันนี้ก็ยังมีความรู้สึกตื่นเต้นอยู่ แต่นั่นแสดงให้เห็นว่าเค้ายังมี passion ให้กับสิ่งที่ทำ ยังเป็นสิ่งที่ทำให้เค้าตื่นเต้นและสนุกกับการทำได้อยู่ ไม่ใช่ทุกอย่างง่ายไปซะหมด นั่นก็ฟังดูน่าเบื่อเหมือนกัน เราชอบอีกอย่างที่อาจารย์บอกไว้ว่าหากเรากำลังเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆแล้วเกิดอาการ “งงๆ” ไม่ต้องเครียดไป ให้รู้ไว้เลยว่าเรากำลังจะอัพเลเวลของตัวเองไปอีกขั้นนึง เรากำลังอยู่ในเส้นทางเพื่อพัฒนาตัวเองไปอีกขั้น เพราะฉะนั้นเราต้องกล้าพูดและไม่อาย สุดท้ายเราจะเก่งเอง

จากนั้นอาจารย์ก็ให้เราลองเรียงลำดับความสำคัญของสิ่งต่อไปนี้ดูค่ะ เพื่อนๆว่าสิ่งไหนที่สำคัญที่สุดสำหรับการพัฒนาตัวเองและประสบความสำเร็จได้คะ?

Work hard

Attitude

Knowledge

Love

Money

Luck

Leadership

ลองเรียงอันดับดูนะคะ

3 อันดับแรกที่ได้เฉลยมาก็คือ…

1. Attitude

2. Work hard

3. Knowledge

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ Attitude หรือความคิดความเชื่อของเรานี่แหละคะ จากนั้นก็เป็นการลงมือทำ Work hard แล้ว 2 สิ่งนี้ก็จะนำมาซึ่งความรู้ในที่สุด Knowledge คนเราจะเก่งและเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ก็มาจากการลงมือทำ เชื่อว่าการจะเป็นเลิศเกี่ยวกับทักษะใดทักษะหนึ่งต้องฝึกฝนและใช้งานเป็นประจำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 10,000 ชม. หรือยาวนานถึง 5 ปี ก่อนจะถึงเวลานั้น เราอาจจะเริ่มจากกฎ 21 วันกันก่อน การทำอะไรอย่างต่อเนื่องซ้ำๆเป็นเวลา 3 อาทิตย์จะทำให้เราค่อยๆเคยชินจนในที่สุดก็สามารถที่จะพัฒนาจากจุดเริ่มต้นเล็กๆนี้ สานต่อไปเรื่อยๆได้ เมื่อถึงจุดนั้นความพยายามและเคยชินทั้งหมดที่สะสมมาจะทำให้เรามีทักษะด้านนั้นๆได้ แต่เราต้องเริ่มลงทำให้เร็ว เริ่มซะตั้งแต่ตอนนี้ วันนี้กันเลย 🙂

จากนั้นอาจารย์ก็มาสอนเรื่องคำศัพท์ในชีวิตประจำวันกัน Daily Vocabulary ซึ่งจริงๆแล้วสามารถแบ่งออกเป็นประเภทได้ดังต่อไปนี้

  • Telling: ใช้เม้ามอยหอยสังข์ต่างๆ พูดถึงความรู้สึก ตัวอย่างเช่น compliment, emotion, personality, figure, name, job
  • Action: การกระทำต่างๆ ตัวอย่างเช่น work eat sleep go
  • Business: เป็นคำที่สวยหรูขึ้น สุภาพมากขึ้น เช่น Can you => Could you?, Sorry เป็น Apologize
  • Category: ตัวอย่างเช่น family, color, food

จากนั้นอาจารย์ก็ให้พวกเราในกลุ่มลองช่วยกันคิดคำศัพท์ที่เกี่ยวกับ Telling ทั้งหมด 10 คำในหัวข้อต่างๆยกเว้น name เพื่อนๆลองเล่นกันเองได้นะคะ ลองจับเวลา 5 นาที แล้วลองเขียนคำศัพท์ที่ตัวเองรู้ดูค่ะ

ส่วนของกลุ่มเราได้มาประมาณนี้ค่ะ น่าจะมีหลายๆคำที่ซ้ำกันเพราะต่างก็เป็นคำศัพท์ที่เราใช้อยู่เป็นประจำในชีวิตประจำวัน

Compliment: beautiful, handsome, cute, smart, great, clever, good job, nice, well done, very good

Emotion: angry, glad, sad, cry, excited, afraid, thankful, scare, bore, stressful

Personality: smart, cool, charming, funny, kind, pretty, humble, sympathy, confident, attentive to details

Figure: fat, thin, tall, slim, short, muscular, chubby, high, standard, long

Job: accountant, security guard, secretary, CEO, CFO, blogger, teacher, engineer, doctor, nurse

จากนั้นอาจารย์ก็แนะนำให้เราลองมาฝึกแต่งประโยคอย่างง่ายจากคำศัพท์ที่เหล่านี้ดู เริ่มจากการชมเพื่อนข้างๆแบบจริงใจด้วยคำศัพท์หมวด Compliment เพื่อฝึกพูดออกมาจากความรู้สึกและเข้าใจคำศัพท์และการใช้งานให้มากขึ้น ลองแต่งประโยคกันขึ้นมาดูค่ะ คำศัพท์เหล่านี้ส่วนมากเป็นคำ Adjective เวลาแต่งประโยคก็จะเป็นตามโครงสร้าง S + LV + Adj. LV คือ Linking verb (verb to be is, am, are) นั้นเองค่ะ ใช้เพื่อเชื่อมระหว่างประธานกับลักษณะของประธานออกมาในรูปแบบประโยค เพราะใน 1 ประโยคต้องมีกริยาประกอบด้วยทุกครั้ง ตัวอย่างเช่น You are beautiful. He is handsome. She is cute. I am thankful. เป็นต้น

S = Subject ประธาน ผู้กระทำ

V = Verb กริยา แสดงการกระทำ เป็นหัวใจหลักของประโยค

ต่อไปก็ลองมาที่คำศัพท์หมวด Action กันบ้าง จัดไปค่ะ 30 คำ ลองเขียนออกมาดูค่ะ

ของกลุ่มเราก็ได้ออกมาประมาณนี้

Eat, sleep, go, walk, run, spin, jump, drink, roll, read, yell, speak, sing, write, sing, talk, write, play, laugh, listen, smile, stand, run, shout, push, pull, slide, cut, think, eat

ประโยคเกิดขึ้นมาได้เริ่มต้นจาก Alphabet => Word => Phrase => Clause => Sentence

รูปแบบประโยคสำหรับกริยาเหล่านี้ก็คือ S + V + O/M (ประธาน + กริยา + กรรม หรือ ส่วนขยาย)

O = Object กรรม ผู้ถูกกระทำ

M = Modifier ส่วนขยาย

แล้วฝึกการคิดเร็วด้วยการจับเวลาเทียบครั้งที่ 1 กับครั้งที่ 2 โดยครั้งที่ 2 พยายามเปลี่ยนคำไม่ให้คำซ้ำกับครั้งแรกเพื่อเป็นการฝึกแต่งประโยคให้หลากหลาย ถ้าเพื่อนๆลองทำดูจะพบว่าเราสามารถแต่งประโยคได้เร็วขึ้นและ creative ขึ้น การจับเวลาจะทำให้เราโฟกัสในสิ่งที่ทำอยู่และเป็นการวัดการพัฒนาของตัวองดูค่ะ เป็นความสำเร็จรายวันที่เห็นผล (อาจารย์แอบบอกว่าให้เราพูดออกมาแบบจังหวะ Rap is now มันส์ๆแบบไม่ต้องอายใคร) จะทำให้เราได้ฝึกการคิดและพูดเร็ว เพื่อแก้ปัญหาการเขินอายและคิดนานกว่าจะพูดได้ หมั่นฝึกฝนเป็นประจำด้วยตัวเองได้ค่ะ จัดไป I eat pizza. I sleep on the couch. I go to the mall. I walk back home. I run at the park. …

หากครั้งที่ 2 ตอนจับเวลาอยากใช้คำใหม่ๆแต่ไม่รู้ว่าภาษาอังกฤษนั้นใช้คำว่าอะไรก็สามารถใช้โอกาสนี้เปิดดิกหาคำได้ เป็นอีกวิธีการให้ได้รู้คำศัพท์เพิ่มขึ้น หรือทบทวนคำศัพท์ที่หลงลืมไป ส่วนตัวเราเองโหลดแอปพลิเคชันดิกชันนารีติดเครื่องไว้ตั้งแต่สมัยเรียน สงสัยคำไหนเปิดแอปเสิร์ชแป๊ปเดียวก็เจอแล้ว สงสัยว่าอ่านออกเสียงยังไงก็แค่เปิดลำโพง หน้าที่ของคำศัพท์คืออะไร เป็น Verb หรือ Adjective หรือ Adverb จะได้เอามาแต่งประโยคถูก แนะนำทุกคนให้ลองโหลดมาใช้ค่ะ ที่เราชอบ ใช้ง่ายดีก็คือแอปที่มีชื่อว่า ThaiFastDict ตอนสมัยเรียนเราเรียนบัญชี ภาคภาษาอังกฤษ ต้องเปิดดิกกันบ่อยเลยหล่ะ อีกเทคนิคที่อยากแนะนำโดยเฉพาะนักศึกษาที่เรียนชีทภาษาอังกฤษก็คือ คำศัพท์ไหนไม่รู้ให้เปิดดิกหาความหมายแล้วจดลงไป ครั้งหน้าจำไม่ได้ก็จดอีก เราพบว่าทำให้เราอ่านชีทเรียนภาษาอังกฤษได้เข้าใจมากขึ้นเพราะไม่ติดตรงคำศัพท์ที่ไม่รู้ แล้วเราจะค่อยๆอ่านประโยคภาษาอังกฤษเข้าใจมากขึ้น ส่วนครั้งหน้าถ้าได้ชีทใหม่แต่เจอคำศัพท์เก่าแล้วจำไม่ได้อีกแล้วค้นหาซ้ำเพื่อจดใหม่อีกจะทำให้เราย้ำถึงการเรียนรู้ความหมายของศัพท์คำนี้ จนทำให้เราค่อยๆจำความหมายมันได้ในที่สุด ดีกว่านั่งท่องศัพท์ปาวๆแล้วก็ลืม แบบนี้ได้ผลในระยะยาว เราคอนเฟิร์ม ยังไงลองเอาวิธีนี้ไปลองใช้กันดูนะคะ

วิธีการฝึกความจำอีกอย่างนึงอาจเป็นการอ่านแบบดูตัวหนังสือก่อน จากนั้นให้เราลองปิดแล้วนึกคำนั้นๆดู ว่าสะกดยังไง แปลว่าอะไร ฝึกแบบนี้ไปเรื่อยๆ ฝึกจาก 60 คำ อาจจะได้แค่ 30-40 คำที่เราสะกดถูก จำความหมายได้ คำไหนที่ยาก ก็เพียงแค่ต้องทุ่มเวลาไปฝึกคำเหล่านั้นให้มากขึ้น เราก็ค่อยๆจดจำคำเหล่านั้นได้ในที่สุด ส่วนเรื่องการอธิบายความหมายของบางอย่างเราสามารถทำได้ด้วยการอธิบายด้วยคำศัพท์ง่ายๆที่เรารู้เพื่อสื่อให้ผู้ฟังทราบว่าเราหมายถึงอะไรได้ แม้เราจะไม่รู้คำศัพท์ตรงๆของคำนั้น

Don’t be too shy !

มีฝันยิ่งใหญ่แล้วรู้สึกว่ายากที่จะทำให้เป็นจริง ก็ซอยออกมาเพื่อทำการฝึกฝนเพื่อเห็นผลเป็นความสำเร็จรายวัน จากนั้นก็ต้องมีวินัยเพื่อฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง.. ยิ่งเข้าเดือนที่ 3 ก็จะยิ่งเห็นผลชัดเจนไม่ต่างจากการออกกำลังกาย และนี่ก็คือชีทสรุปบทเรียนที่ได้ไปเทรนฟรีใน Workshop ที่จัดขึ้นที่ Whizdom Club Co-working space มากับอาจารย์จุนเท Banana Engrich ขอบคุณที่จัดกิจกรรมดีๆแบบนี้ขึ้นมาค่ะ

หากใครที่สนใจคอร์สเรียนภาษาอังกฤษแบบส่วนตัว Private กับอาจารย์คนไทย สามารถติดต่อได้เลยที่ FB Page: Bananaengrich Facebook Page

Image credit: facebook.com/bananaengrich

ผู้เขียน: ตรีสุคนธ์ จีระมะกร (ตรี)

อดีตผู้ตรวจสอบบัญชีที่ลาออกมาเป็นฟรีแลนซ์ มีฝันเล็กๆที่อยากเป็นอิสระจากชีวิตออฟฟิศ และสามารถทำงานที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้เพียงแค่มีโน๊ตบุ๊คติดตัวและ wifi ชื่นชอบภาษาอังกฤษ สิ่งแวดล้อม และการออกเดินทางท่องเที่ยว ปัจจุบันเป็นล่ามและนักแปล ไทย <=> อังกฤษ ทำบัญชีออนไลน์ และ นักเขียนอิสระ ยังเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตัวเองในทุกๆวันเพื่อพัฒนาตัวเอง

บทความเกี่ยวข้องอื่นๆที่น่าสนใจ:

No Comments

Sorry, the comment form is closed at this time.