9 วันในศรีลังกา Tag

กระท่อมริมทะเลที่กอลล์   หนีความหนาวบนเขามาชิวๆ ที่ชายหาดทางใต้ของประเทศศรีลังกาอย่างกอลล์ (Galle) กันบ้าง เราจองที่พักเป็นกระท่อมเล็กๆ ริมทะเลของชาวบ้านที่นี่ชื่อว่า Rosa Shashi Cabanas Hut in Galle ราคาแค่ประมาณ 300 บาทต่อคืน นั่งตุ๊กๆ มาจากสถานีรถบัสแค่ 40 บาทก็ถึงแล้ว กระท่อมถูกสร้างขึ้นที่หลังบ้านของเจ้าของที่พักเอง มีทั้งหมด 2 หลังถ้วน คือหลังที่เราจอง ส่วนอีกหลังเขากำลังปรับปรุงอยู่ ฮ่าๆ มีวิวเป็นชายหาดส่วนตัวหน้าที่พัก ที่นี่เงียบสงบมาก แทบไม่มีคนเลย แม้ใกล้ๆ กันจะมีโรงแรมหรูขนาดใหญ่ตั้งอยู่ก็ตาม ส่วนบ้านข้างๆ มีเรือประมงจอดอยู่ด้วย ตอนเย็นๆ ก็เห็นเขาออกมาจับปลา วิวจากห้องพักที่กอลล์   Beach Trash Collector   คลื่นทะเลที่นี่ค่อนข้างสูง มีธงสีแดงปักอยู่เพื่อเป็นการเตือนว่าไม่ควรออกไปว่ายน้ำเล่นไกลๆ เราออกไปยืนเล่นที่ริมหาดสู้กับคลื่นสักพัก แรกๆ ก็สนุกดี หลังๆ คลื่นเริ่มจะพาไปไกล ต้องถอยไปเล่นหลังโขดหินแทน บนชายหาดมีสารพัดเปลือกหอยที่ถูกพัดเข้าฝั่ง มีปูดำแอบอยู่ตามโขดหินเยอะมาก...

 This is my mother land   รถไฟกำลังมุ่งหน้าไปสู่ปลายทาง บาดุลลา (Badulla) เมืองที่ถูกมองข้ามจากนักท่องเที่ยวไปเสียสนิท พอคนบนรถไฟไม่ค่อยมี พวกเราเลยป่วนกันได้เต็มที่ ฉันเดินไปตรงรอยต่อของแต่ละโบกี้ที่สามารถโหนราวยืนดูข้างนอกได้ กล้ากลัวๆ แต่ให้ใบหน้าได้ปะทะลมระหว่างที่รถไฟกำลังเคลื่อนไปนี่เป็นอะไรที่ดีจริงๆ อีกฝั่งก็มีชายคนหนึ่งพาคุณลุงท่านหนึ่งมาจับราวแล้วมองออกนอกรถไฟรับลมอยู่เหมือนกันจนคุณลุงหัวเราะออกมาเสียงดัง ดูสนุกและตื่นเต้นมาก ฉันยืนดูจนอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ คุณลุงกับชายคนนั้นหันกลับมาพอดี เขายิ้มให้แล้วก็ชวนพวกเราคุย.. ถามว่าพวกเรามาจากไหน ที่บ้านเมืองคุณมีแบบนี้ไหม แล้วชอบอะไรในศรีลังกาบ้าง? เป็นคำถามที่เขาอยากรู้ว่าคนต่างชาติอย่างเราคิดอย่างไรกับประเทศเขาบ้าง ฉันตอบกลับไปว่ารถไฟสายนี้สวยมาก คนที่นี่ใจดี ธรรมชาติที่นี่ก็อุดมสมบูรณ์สุดๆ ที่ไทยเราไม่ได้มีรถไฟขับผ่านไร่ชาและป่าเขาที่สวยงามขนาดนี้ เขาตั้งใจฟังสิ่งที่เรากำลังบอกและตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มและแววตาแห่งความภาคภูมิใจว่า “This is my mother land” ที่นี่เป็นแผ่นดินบ้านเกิดของเขา!   ปลายทาง.. บาดุลลา (Badulla)   ในที่สุดเราก็มาถึงที่บาดุลลา (Badulla) อย่างที่พอจะเดากันได้ว่าที่นี่แทบไม่มีนักท่องเที่ยวให้เห็นเลย เราไม่ได้จองที่พักไว้ก่อนล่วงหน้าสำหรับคืนนี้ มีแค่ดู Agoda ไว้คร่าวๆ กะว่าพอออกจากสถานีรถไฟแล้วค่อยเดินตามหาที่พักแถวนั้นกัน พอเดินออกมาก็มีคนขับตุ๊กๆ คนหนึ่งรีบตรงดิ่งเข้ามาคุยกับเรา บอกว่ามีที่พักแนะนำ พาขับไปส่งให้ได้ แต่เราไม่ได้อยากเสียเงินค่าตุ๊กๆ อยากเดินหาเองมากกว่า เลยบอกกับเขาไปว่าเราดูที่พักเอาไว้แล้ว พอโชว์ให้ดู...

แคนดี้ (Kandy) เมืองหลวงเก่าของศรีลังกา    สังเกตได้ว่ามีธงศาสนาพุทธประดับอยู่สองข้างทางบนถนนในแคนดี้ ฉันนั่งหลับแทบจะตลอดทางบนรถเมล์ตั้งแต่ออกจากดัมบุลลา (Dambulla) มาจนถึงแคนดี้ (Kandy) เมืองหลวงเก่าของประเทศศรีลังกา แคนดี้ต้อนรับการมาถึงของพวกเราด้วยสายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย เราใส่เสื้อกันฝนที่พกมา เดินลุยตามแผนที่ไปยังที่พักที่จองไว้ล่วงหน้าใกล้กับสถานีรถไฟแคนดี้ (Kandy Railway Station) แคนดี้ในวันที่ฝนตก แพลนของเราในวันพรุ่งนี้คือนั่งรถไฟจากแคนดี้ไปบาดุลลา (Badulla) สถานีปลายทางของรถไฟสายแคนดี้ - เอลล่า (Kandy to Ella train) เส้นทางรถไฟอันขึ้นชื่อลือชาของศรีลังกาที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยี่ยมเยือนที่นี่   วัดพระเขี้ยวแก้ว (Temple of Tooth Relic) เมืองแคนดี้ ประเทศศรีลังกา   ทางเข้าวัดพระเขี้ยวแก้ว (Temple of Tooth Relic) หลังจากเช็คอินที่พักเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็เดินจากที่พักไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองแคนดี้ทันทีนั่นก็คือวัดพระเขี้ยวแก้วของศรีลังกา (Temple of Tooth Relic) อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในศรีลังกาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นมรดกโลก วัดแห่งนี้เป็นที่เก็บพระเขี้ยวซ้ายของพระพุทธเจ้าที่เจ้าชายของศรีลังกาในอดีตเป็นผู้อัญเชิญมาจากอินเดีย พื้นที่ของวัดพระเขี้ยวแก้วแห่งนี้ก็เคยเป็นพระราชวังเก่ามาก่อน ศิลปะบนฝาผนังของวัดพระเขี้ยวแก้ว (Temple of Tooth Relic) พวกเราต้องถอดรองเท้ากันตั้งแต่เดินเข้าประตูวัด ตามธรรมเนียมของวัดพุทธในศรีลังกา...

แวะระหว่างทางที่ดัมบุลลา (Dambulla)   ภาพเขียนในถ้ำที่วัดถ้ําดัมบุลลา ถ้าจะเดินทางไปที่เมืองแคนดี้ (Kandy) ก็ต้องนั่งรถบัสจากเมืองสิกิริยะ (Sigiriya) ไปที่เมืองดัมบุลลา (Dambulla) ก่อน แล้วค่อยต่อรถบัสจากดัมบุลลาไปที่แคนดี้อีกที ที่ดัมบุลลามีวัดถำ้ (Dambulla Cave Temple) ที่มีจิตรกรรมภายในอันสวยงามและพระพุทธรูปเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ซึ่งถูกยกย่องให้เป็นแหล่งมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งของประเทศศรีลังกา   วัดถ้ำดัมบุลลา (Dambulla Cave Temple)   ตอนแรกพวกเรากะว่าจะต่อรถไปที่แคนดี้เลย ไม่ต้องแวะที่วัดถ้ำดัมบุลลา แต่พอมาถึงจริงๆ แล้วเห็นว่ามีนักท่องเที่ยวหลายคนแวะที่เมืองนี้กัน แล้วคนท้องถิ่นเองก็บอกว่าวัดแห่งนี้เป็นมรดกโลกที่อายุเก่าแก่กว่า 800 ปี พวกเราเลยเปลี่ยนใจ แวะพักที่ดัมบุลลาเพื่อเที่ยวที่วัดถ้ำแห่งนี้ด้วย พอได้เข้าไปจริงๆ ก็เห็นได้เลยว่าวัดถ้ำบาดุลลาแห่งนี้เป็นมรดกโลกที่ยังมีความสมบูรณ์มาก พวกเขามีการบำรุงรักษาไว้อย่างดี พระพุทธรูปแต่ละองค์ยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ เท่าที่สังเกตมีเพียงไม่กี่องค์เท่านั้นที่มีนิ้วมือหักไปบ้าง ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยมากๆ อาจเป็นเพราะอยู่ในถ้ำด้วยเลยทำให้ยังคงทนและมีสภาพที่สมบูรณ์กว่าที่อื่นๆ ภาพวาดในถ้ำก็มีสีสันสวยงามและสมบูรณ์เช่นกัน มีการจัดแสงภายในถ้ำบางโซนเพื่อให้เห็นภาพเขียนได้ชัดขึ้นท่ามกลางความมืดของถ้ำด้วย พวกเราชื่นชมความงามโดยรอบกันสักพัก ฉันถ่ายรูปวัดถ้ำบาดุลลาแห่งนี้จนหนำใจแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางไปยังเมืองแคนดี้กันต่อ เมืองที่คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวที่ต้องการขึ้นรถไฟสายแคนดี้ - เอลล่า (Ella) ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเส้นทางรถไฟที่สวยงามเป็นอันดับต้นๆ ของโลก   นั่งรถบัสจากสิกิริยะไปแคนดี้   ตอนที่รถบัสจากสิกิริยะลงจอดที่ดัมบุลลา พวกเราถามตุ๊กๆ...

วันนี้ต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 เช้าตรู่ รีบเตรียมตัวเพื่อขึ้นรถไฟไปสิกิริยา ถามเจ้าของบ้านไว้ตั้งแต่เมื่อวานว่าช่วงเช้าๆ จะมีรถตุ๊กๆ ไหมแถวนี้? เขาก็บอกว่ามีวิ่งตลอดเลย ไม่ต้องห่วง วันนี้เดินออกมาแป๊ปเดียวก็เจอ แต่พอนั่งรถไปได้สักพัก ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมโทรศัพท์ เพราะค้นดูในกระเป๋าแล้วไม่เจอ เลยต้องย้อนกลับไปเอาอีก โทรบอกเจ้าของบ้าน แล้วบอกให้ตุ๊กๆ รีบบึ่งกลับไปเอา ทุกอย่างวุ่นวาย หลังจากที่ได้โทรศัพท์คืนมา ก็ต้องบอกให้ตุ๊กๆ ซิ่งไปเลย! เพราะกลัวว่าจะไม่ทัน แต่สุดท้ายก็ไปถึงทันเวลา เกือบไปละเรา ไอโฟนยังผ่อนไม่ครบเลยตอนนั้น ฮ่าๆ ซื้อตั๋วรถไฟเสร็จปุ๊ปก็แวะซื้อขนมปังจากร้านขายของชำแถวๆ สถานีไว้กินบนรถไฟด้วย เป็นขนมปังก้อนธรรมดาๆ ไส้ไข่ ผัก หรือไส้กรอก พอประทังความหิวตอนอยู่บนรถไฟได้   นั่งรถไฟจากโคลัมโบไปสิกิริยา   นั่งรถไฟไปสิกิริยา รถไฟจากโคลัมโบ (Colombo) ไปฮาบารานะ (Habarana) มี 2 รอบต่อวัน คือ รอบเช้า 6.05 - 11.06 น. และรอบค่ำ...

วันแรกในโคลัมโบหมดลงอย่างรวดเร็ว เพราะพวกเรามัวแต่หาที่พักกันอยู่นานกว่าจะเจอ ในเว็บไซต์เขียนไว้ว่าบ้านเลขที่ 16 แต่เดินหารอบๆ ก็เจอแต่บ้านเลขที่ 16A แถมเลขที่บ้านที่อยู่ติดกันไม่ได้เรียงต่อกันอีกต่างหาก พอลองถามคนแถวนั้นดู ก็ไม่มีใครรู้จักบ้านหลังนี้เลย พระอาทิตย์ตก ฟ้าเริ่มมืด อยู่ข้างนอกค่ำๆ แบบนี้ไม่ดีแน่ ฉันลองโทรเบอร์ที่เขาให้ไว้บนเว็บไซต์แต่กลับไปโผล่ต่างประเทศเฉยเลย กะว่าจะส่งอีเมลถาม แต่เห็นอีกเบอร์ที่แนบไว้ในอีเมลพอดี เลยลองโทรดูอีกครั้ง คราวนี้เป็นเจ้าของที่พักรับ โล่งอกไปที! สรุปที่พักของเราก็คือบ้านเลขที่ 16A นั่นแหละ เอะใจอยู่แต่ก็ไม่กล้ากดกริ่งถามตั้งแต่ทีแรก ลองนั่งรถเมล์ในศรีลังกาครั้งแรก!   มื้อแรกในศรีลังกา   เจ้าของเปิดบ้านออกมาต้อนรับและแนะนำสถานที่เล็กน้อย พวกเราวางของเสร็จสรรพก็รีบออกไปหามื้อเย็นกินทันทีเพราะต่างคนต่างหิว ร้านแรกที่เห็นเป็นร้านขายพิซซ่า ตกแต่งอย่างดี แต่พวกเราเลือกที่จะเดินผ่าน มาเที่ยวศรีลังกาทั้งทีก็ต้องกินอาหารพื้นเมืองของศรีลังกาสิ! เดินต่อมาอีกนิดก็เจอร้านอาหารเล็กๆ ร้านหนึ่งที่หน้าตาละม้ายคล้ายร้านขายข้าวราดแกงบ้านเรา มีอาหารวางเรียงรายให้เลือก เป็นโรตีเปล่า แกงต่างๆ และซาโมซ่า (Samosa) หรือโรตีทอดทรงสามเหลี่ยม สอดไส้ด้วยมันฝรั่ง เนื้อไก่บด พริก และพริกไทย แนวๆ อาหารอินเดีย ฉันเลือกกินโรตีคู่กับแกงกะหรี่ไก่ที่แทบมองไม่เห็นเนื้อไก่เลย อดคิดถึงอาหารไทยไม่ได้ตั้งแต่วันแรก.. ชอบความตกแต่งที่นั่งในรถเมล์ด้วยผ้าลูกไม้ แถมไม่แกะพลาสติกด้วย ใหม่กริ๊บ เช้าวันต่อมา.. เจ้าของบ้านเตรียมมื้อเช้าไว้ให้เป็นข้าวที่หุงโดยใช้นม...

ทำไมถึงไปเที่ยวศรีลังกา? ฉันสนใจประเทศนี้ครั้งแรกตอนที่เห็นเพื่อนชาวต่างชาติถ่ายวิดีโอลงอินสตาแกรม เขากำลังขับมอเตอร์ไซด์อยู่ดีๆ ก็มีช้างโผล่มาทำท่าจะวิ่งพุ่งเข้าหาจากข้างถนน จนต้องรีบบึ่งมอเตอร์ไซด์หนีพร้อมกับเสียงตกใจปนหัวเราะ หรือลงรูปบ้านต้นไม้พร้อมกับแคปชั่นว่า "childhood dream comes true" ฉันได้ยินชื่อของประเทศนี้อีกครั้งจากพี่ที่รู้จักอีกคน เขาบอกว่าอยากจะลองนั่งรถไฟในศรีลังกาดูสักครั้ง.. ตอนแรกฉันนึกไม่ออกเลยว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดีในศรีลังกา เพราะแทบไม่รู้จักหรือได้ยินเกี่ยวกับที่เที่ยวในประเทศศรีลังกามาก่อน แต่พอลองค้นหาดูก็พบว่ามีสถานที่ที่น่าสนใจไม่น้อยเลย แม้นักท่องเที่ยวบางคนบอกว่าด้วยสภาพอากาศ อาหาร และค่าครองชีพที่ไม่ต่างกันมากนัก ประเทศไทยของเราน่าสนใจกว่า.. แต่ 9 วันที่ฉันได้ใช้เวลาอยู่ในศรีลังกา บอกได้เลยว่าไม่พอ! บ้านต้นไม้ในเมืองสิกิริยา (Sigiriya) ประเทศศรีลังกา   วีซ่าท่องเที่ยวประเทศศรีลังกา   ไปเที่ยวศรีลังกาต้องขอวีซ่าด้วยแต่ก็ไม่ยุ่งยากเลย ราคาวีซ่าท่องเที่ยวของศรีลังกาอยู่ที่ประมาณ 40$ (1,100 บาท) ฉันทำวีซ่าไปศรีลังกาแบบออนไลน์ กรอกข้อมูลให้เรียบร้อย เสร็จปุ๊ปก็จ่ายเงินออนไลน์ แล้วก็ปริ้นอีเมลยืนยันเก็บไว้เป็นหลักฐานให้กับตม.ที่นู่น ผู้อ่านสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่หัวข้อ Get in - Visa Rules ในเว็บไซต์ Wiki Voyage ได้เลย ปกติฉันจะดูข้อมูลท่องเที่ยวในต่างประเทศผ่านเว็บไซต์นี้ที่เป็นแหล่งข้อมูลฟรี ใครที่อยากแชร์ประสบการณ์ตรงก็สามารถเข้าไปอัปเดตข้อมูลต่างๆ ให้กับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ได้...