โบกรถและเดินขึ้นเขาไปธารน้ำแข็งในหมู่บ้านทางตอนเหนือของประเทศจอร์เจีย

โบกรถและเดินขึ้นเขาไปธารน้ำแข็งในหมู่บ้านทางตอนเหนือของประเทศจอร์เจีย

หลังจากทริป 2 เดือนในยุโรปจบลง พร้อมกับ pocket money ที่ร่อยหรอ ก่อนกลับไทยพวกเราเลยเลือกไปเที่ยวจอร์เจียกันต่อ โดยบินไปที่เมืองคูไทซี (Kutaisi) เมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของประเทศจอร์เจีย ด้วยเหตุผลที่ว่าตั๋วเครื่องบินถูกและสามารถอยู่ได้นานถึง 1 ปีโดยไม่ต้องขอวีซ่า ประเทศนี้ทำให้เราประทับใจมากจนต้องกลับมาอีกครั้งในปี 2020 เมืองคูไทซีเป็นเมืองเก่าที่มีโบสถ์คริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ที่มีชื่อเสียง ภายในอาคารค่อนข้างเรียบง่าย สวยงามด้วยรูปวาดและภาพเขียนฝาผนังเก่าแก่

โชคดีที่เราได้มีโอกาสเห็นงานแต่งงานของคนจอร์เจียเกิดขึ้นในโบสถ์แบบบังเอิญด้วย

เที่ยวจอร์เจีย Gelati Monastery

ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของประเทศจอร์เจียก็คือ พวกเขาเป็นหนึ่งในผู้คิดค้นไวน์เป็นประเทศแรก ๆ ของโลก ตั้งแต่เมื่อ 6,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช สังเกตได้ว่าบ้านหลาย ๆ หลังของที่นี่จะปลูกองุ่นไว้หน้าบ้านไว้ทำไวน์ดื่มกันเอง ส่วนไวน์ที่ขายอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตก็รสชาติดีและราคาถูกมาก แค่ 80-150 บาทโดยประมาณเท่านั้น ส่วนตึกรามบ้านช่องของที่นี่ก็เก่าแก่และสวยงาม ร้านค้า ร้านอาหาร และคาเฟ่มักตกแต่งด้วยรูปภาพขาวดำและของเก่า ทำให้บรรยากาศรอบ ๆ ตัวเราดูวินเทจไปซะหมด

Our cafe เมือง Kutaisi

พวกเราเลือกที่จะเดินทางช้าลง หลังจากการกระโดดไปมาหลายประเทศในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา จนวันหนึ่งแฟนสังเกตเห็นป้ายโฆษณาเมือง Mestia ที่มีวิวของภูเขาปกคลุมด้วยหิมะ จากบริษัททัวร์แห่งหนึ่งในระหว่างทางที่เดินผ่านไปมาทุกวัน เราเลยตัดสินใจว่า Mestia จะเป็นสถานีต่อไปที่จะเดินทางไปกัน

 

เที่ยวจอร์เจียด้วยตัวเอง Kolrudi lake เมือง Mestia

พวกเราเลือกที่จะเดินทางด้วยรถไฟเพราะชอบรถไฟด้วยกันทั้งคู่ แม้จะช้าและต้องแวะพักที่เมือง Zugdidi ระหว่างทางด้วยก็ตาม ตั๋วรถไฟราคาเพียง 2 gel หรือ 20 บาทเท่านั้น ถูกมาก! ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 3 ชั่วโมงด้วยกัน

วันรุ่งขึ้นพวกเรานั่งรถตู้สาธารณะไปที่เมือง Mestia พอต้องเดินทางบนรถ ฉันก็หลับตลอดทางเช่นเคย จนรถมาหยุดที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งบนภูเขา เพื่อให้ผู้โดยสารได้ซื้ออะไรกินหรือแวะเข้าห้องน้ำ ฉันตื่นมาด้วยความซะลึมซะลือ ลงจากรถเพื่อมองหาห้องน้ำ แต่แล้ววิวตรงหน้าก็ทำให้ฉันต้องรีบวิ่งกลับขึ้นรถไปหยิบกล้องมาถ่ายรูปเก็บไว้

ต้นไม้เขียวขจีสุดลูกหูลูกตา และน้ำของทะเลสาบสีฟ้ามรกต

การเดินทางที่ไม่ต้องเตรียมพร้อมไปซะทุกอย่าง ทำให้เราได้ไปลุ้นเอาข้างหน้าว่า มีอะไรกำลังรอเซอร์ไพรส์เราอยู่บ้าง

ในที่สุดก็เดินทางมาถึง Mestia เจริญกว่าที่คิดไว้มาก แม้จะเป็นเมืองห่างไกลบนภูเขา เราจองที่พักราคาถูกไว้ล่วงหน้า ซึ่งอยู่ไกลออกไปจากโซนร้านอาหารนิดหน่อย เลยต้องเดินเท้าไปกลับที่พักและร้านอาหารประมาณ 15-20 นาทีทุกวัน ตอนนั้นแฟนเคยอ่านเจอมาว่าคนที่นี่โบกรถ (hitchhike) กันเป็นประจำและทำได้ง่ายกว่าประเทศอื่น นักเดินทางหลายคนที่เราได้เจอระหว่างทางต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน เราเลยลองโบกรถกันดูบ้างเป็นครั้งแรก แล้วมันก็ได้ผลจริง ๆ รอไม่นานก็มีคนขับรถจอดรับเรา ซึ่งมีทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวที่เช่ารถขับเที่ยว ตั้งแต่นั้นมาพวกเราเลยได้ใจ โบกรถกันแทบจะทุกครั้ง..

เจ้าของเกสท์เฮ้าส์ที่เราพักชอบการเดินเขาเป็นชีวิตจิตใจ เธอแนะนำเว็บไซต์ caucasus-trekking.com ซึ่งเป็นเว็บแนะนำเส้นทาง trekking ในประเทศจอร์เจีย ทั้งจุด start แผนที่เส้นทาง และระยะเวลาที่ใช้ในการเดินเขาโดยประมาณ ฉันเลยจะลองเดินเขาแบบจริงจังเป็นครั้งแรกที่นี่ เส้นทางแรกที่เลือกคือเดินเท้าจากหมู่บ้านไปยัง Kolrudi lake ซึ่งในเว็บไซต์บอกว่าใช้เวลาไปกลับประมาณ 7 ชั่วโมง

แต่เรากลับใช้เวลา 7 ชั่วโมงสำหรับขาเดียวเท่านั้น!

เราหยุดที่บริเวณจุดชมวิวกัน หลังจากเดินขึ้นเขามาเป็นเวลา 4 ชั่วโมงเต็ม ตอนนั้นฉันได้เห็นวิวของเมืองแบบนี้ก็พอใจแล้ว อยากหันหลังเดินกลับเพราะเหนื่อย แต่แฟนบอกว่าไหน ๆ ก็ขึ้นมาแล้ว เดินต่อไปให้ถึงทะเลสาบกันเถอะ หลังจากได้นั่งพักที่จุดชมวิวนี้นักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ อีกหลายคนก็เดินมุ่งหน้าต่อไปในทางเดียวกัน เป้าหมายของทุกคนก็น่าจะเป็น Kolrudi lake ความตั้งใจแรกของพวกเรา ฉันก็เลยฮึดเดินต่อกับเขาบ้าง

เดินไปไกลเท่าไหร่ ก็ยังไม่เห็นทะเลสาบซักที ยิ่งหลัง ๆ เป็นเนินเขาสูงทั้งนั้น เดินขึ้นเนินที ต้องนั่งพักที เราทั้งสองคนเริ่มเดินช้าลงเรื่อย ๆ จนนักท่องเที่ยวที่เพิ่งเดินมาตามหลังเราจนทัน

พวกเขาเป็นนักท่องเที่ยวชายชาวอิสราเอล 2 คนที่เช่ารถตู้ขึ้นมาตรงจุดชมวิวด้วยกัน แล้วตั้งใจจะเดินต่อไปยังทะเลสาบด้วยตัวเอง สักพักก็มีนักท่องเที่ยวหญิงชาวอิสราเอลอีกสองคนที่มาด้วยกันเดินตามมา เราทักทายและพูดคุยกันเล็กน้อย พวกเขาตกใจมากเมื่อรู้ว่าเราเดินเท้ามาจากหมู่บ้านกันเอง

ชายคนหนึ่งบอกกับเราว่า “บนรถของพวกเรามีที่ว่างอยู่ 2 ที่พอดี คุณจะนั่งกลับไปในเมืองด้วยกันก็ได้นะ” พวกเราบอกขอบคุณและดีใจมาก เพราะแทบหมดแรงกันแล้ว กะว่าจะลองโบกรถขากลับอยู่พอดี ส่วนชายอีกคนบอกว่า “ผมมีแก๊สกับชาอยู่ในเป้นะ ไว้พอเราเดินไปถึงทะเลสาบแล้ว ต้มชาร้อน ๆ ดื่มกันเถอะ”

ฉันกับแฟนหัวเราะ เพราะไม่อยากจะเชื่อว่ามีคนพกถังแก๊สขึ้นมาชงชาบนภูเขาหิมะแบบนี้ด้วย แต่เรากลับรู้สึกขอบคุณอย่างที่สุด เพราะชาร้อน ๆ ท่ามกลางอากาศหนาว ๆ ณ เวลานั้นคือฟินมากกก ฉันก็แบ่งคุกกี้ที่พกขึ้นมาให้กับพวกเขาด้วย ทะเลสาบ Kolrudi lake ไม่ได้ใหญ่เหมือนในภาพที่คิดไว้เลยสักนิด แต่ความภาคภูมิใจที่พาตัวเองมาถึงจุดหมายได้สำเร็จนั้นเต็มเปี่ยม

สิ่งที่สำคัญอาจไม่ใช่จุดหมาย แต่เป็นระหว่างทางอย่างที่หลายคนเคยว่าไว้จริง ๆ

พวกเรานั่งดื่มชากันได้สักพัก พระอาทิตย์ก็เริ่มตกดิน ท้องฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนสี ได้เวลาต้องเดินกลับกันก่อนที่ฟ้าจะมืด หลังจากเดินออกมา ฉันยังหันกลับไปมองวิวของภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะไม่หยุด อยากเก็บภาพบรรยากาศและความรู้สึกนี้ไว้ในความทรงจำนาน ๆ

อากาศเริ่มหนาวขึ้นเรื่อย ๆ โชคดีมากที่พวกเราได้มาเจอกับคนอิสราเอลกลุ่มนี้ ไม่อย่างนั้นคงได้เดินกลับหมู่บ้านในความมืดกันเองอีกหลายชั่วโมง

การเดินเขาจริงจังเป็นครั้งแรกของฉัน ทำให้ฉันตั้งตารอคอยการเดินเขาครั้งใหม่..

 

เที่ยวจอร์เจียด้วยตัวเอง Chalaadi Glacier เมือง Mestia

การเดินเขาครั้งที่สองนี้ยิ่งน่าตื่นเต้นขึ้นไปอีก เพราะเราจะเดินเท้าไปหาธารน้ำแข็งที่มีชื่อว่า Chalaadi Glacier กัน ระหว่างที่เดินก็ลองโบกรถไปด้วย จะได้ไปให้ใกล้จุด start ที่สุดแบบประหยัดทั้งแรงและเวลา พวกเราโบกรถทั้งหมด 4 ครั้งก็มาถึงตามที่ตั้งใจไว้ โชคดีที่มีรถผ่านมาแถวนี้ไม่น้อย เพราะคนงานมาสร้างระบบไฟฟ้าพลังน้ำแถวนั้นอยู่พอดี

ทางเดินไปยังธารน้ำแข็ง Chalaadi เป็นป่าสนที่อุดมสมบูรณ์มาก ต้นไม้เยอะและมีลูกสนหล่นเต็มพื้นไปหมด อากาศก็สดชื่นมากด้วย หายใจได้เต็มปอดเลย เดินไปเรื่อย ๆ ก็จะได้ยินเสียงของน้ำในลำธารไหลอยู่ตลอดทาง

Chalaadi Glacier

เดินเขาครั้งนี้เราพยายามหยุดพักกันน้อยลง จะได้ถึงที่หมายกันไวขึ้น การเดินเขาบนเส้นทางนี้แตกต่างจากคราวที่แล้ว เพราะผ่านป่าสนตลอดทาง และไม่ค่อยมีเนินสูงเท่าไหร่ พอมุ่งหน้าเดินต่อไปก็ได้เห็นยอดของธารน้ำแข็งอยู่ไกล ๆ แต่ต่อให้เดินหน้าไปอีกเท่าไหร่ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถึงบนยอดภูเขาลูกนั้นสักที

ระหว่างนั้นเราพากันเก็บขยะที่เห็นระหว่างทางใส่ถุงที่เตรียมมาไปด้วย เพราะอยากให้ธรรมชาติที่นี่สะอาดและสวยงามในแบบที่มันควรจะเป็น.. ทำแบบนี้มาตลอดทางจนเดินมาถึงทางปีนขึ้นยอด ที่มีภูเขาขนาดใหญ่รายล้อมเราอยู่ พร้อมก้อนหินน้อยใหญ่ที่หล่นลงมาจากการสึกกร่อนของภูเขารอบ ๆ นั้น เราได้ยินเสียงก้อนหินที่ตกลงมาจากยอดภูเขาอยู่ตลอด

Chalaadi Glacier

เห็นธารน้ำแข็งใกล้ขึ้นมาอีกนิดแล้ว แต่ถ้าอยากจะขึ้นไปให้ถึงยอด ต้องปีนก้อนหินพวกนี้ขึ้นไปเท่านั้น..

ฉันมีความคิดแว๊บเข้ามาอีกแล้วว่ามาถึงแค่ตรงนี้ก็พอแล้วมั้ง บนยอดไม่น่าจะต่างไปจากตรงนี้สักเท่าไหร่ เพราะการปีนขึ้นไปให้ถึงยอดดูเป็นงานหินอยู่เหมือนกัน แต่แฟนชวนให้ขึ้นไปต่อ ยังมีคนที่เพิ่งลงมาและพยายามขึ้นไปต่อเหมือนกัน ถ้าพวกเขาทำได้ เราก็ต้องทำได้ เป้าหมายก็อยู่ตรงหน้าแค่นี้แล้ว เราเลยตัดสินใจค่อย ๆ ปีนขึ้นไปบนยอดด้วยกัน ซึ่งต้องคอยระวังทุกย่างก้าว ไม่งั้นก็จะลื่นตามก้อนหินพวกนั้นลงไปด้วย

เที่ยวจอร์เจีย Chalaadi Glacier

เราปีนป่ายกันขึ้นมาอย่างทุลักทุเล แต่ในที่สุดก็ขึ้นมาถึงยอดกันจนได้ รู้สึกขอบคุณตัวเองที่เลือกจะเอาชนะทั้งความขี้เกียจและความกลัวที่มี เพราะสิ่งที่เรากำลังเห็นตรงหน้าคือรางวัลที่คุ้มค่าที่สุด ธารน้ำแข็งกำลังรายล้อมอยู่รอบตัว เรากำลังยืนอยู่บนธารน้ำแข็งขนาดมหึมากลางภูเขา

อีกครั้งที่เราอยากจะยอมแพ้ แต่ก็สู้ต่อจนพาตัวเองมาถึงจุดหมายได้ในที่สุด..

Chalaadi Glacier

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของการได้มาเห็นธารน้ำแข็งด้วยตาของตัวเอง เพราะฉันเคยเห็นธารน้ำแข็งในประเทศไอซ์แลนด์ก่อนหน้านี้ไม่นาน แต่ในครั้งนี้กลับให้ความรู้สึกที่พิเศษกว่า เพราะไม่ใช่แค่การขับรถเที่ยวแล้วจอดเดินไปดูแบบใกล้ ๆ หรือซื้อทัวร์ราคาแพงเพื่อได้เข้าไปเดินในถ้ำน้ำแข็งเท่านั้น

แต่เป็นการเดินเท้าและโบกรถมาจากที่พักกันเอง ทำให้การไปถึงเป้าหมายท้าทายกว่า และรับรู้ได้ถึงความอิ่มเอมในใจที่เกิดขึ้น เมื่อเราทำอะไรสักอย่างสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ จากความพยายามและไม่หันหลังกลับ การเดินเขาทำให้เราต้องสู้กับจิตใจของตัวเอง ครั้งแล้วครั้งเล่า..

พวกเราเดินสำรวจรอบๆ และนั่งมองดูความสวยงามที่ธรรมชาติได้รังสรรค์ขึ้นมาตรงหน้าจนพอใจ แล้วก็พากันเดินกลับ ซึ่งขากลับมักจะง่ายและเร็วกว่า เพราะรู้แล้วว่าเส้นทางขามาเป็นอย่างไร พอเดินมาถึงข้างล่างก็เจอผู้ชายคนหนึ่งที่ตอนแรกเดินสวนกันบนยอดเขาไปก่อนหน้านี้ เขาถามเราว่าได้ขึ้นไปต่อจนเห็นธารน้ำแข็งเลยหรือเปล่า

เราก็ตอบไปว่า “ใช่ พวกเราเดินขึ้นไปถึงยอดเลย แล้วมันก็สวยงามมาก ๆ” เขายิ้มให้กับคำตอบนั้น เขาบอกว่ากำลังจะกลับเข้าเมืองกับพ่อและแม่อยู่พอดี ฉันเลยเอ่ยปากขอติดรถพวกเขาลงไปด้วยซะเลย เขาก็ใจดีพาเราขึ้นรถกลับเข้าเมืองมาด้วย

โชคดีกันอีกแล้วเรา..

ขึ้นทางเหนือจากเมือง Mestia ไปอีกนิดจะเป็นเมือง Ushguli ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีคนตั้งรกรากเพื่ออาศัยอยู่สูงสุดในยุโรป เราเลยตัดสินใจว่าจะโบกรถไปเที่ยวต่อที่เมืองนี้กัน เพราะได้ยินมาว่ามีเส้นทางให้เดินเขาที่น่าสนใจอีกหลายเส้นทางที่นั่น หลายคนก็เลือกที่จะเดินเท้าไปจาก Mestia เลยด้วยซ้ำ ซึ่งต้องใช้เวลานานถึง 4 วัน แต่เรายังไม่ถึงขั้นนั้น ยังเป็นมือใหม่กับการปีนเขามาก ๆ

ฉันคิดว่า Mestia เป็นเมืองที่มีธรรมชาติที่สวยงามมากแล้ว แต่ Ushguli กลับมีความพิเศษในแบบของตัวเอง และกลายเป็นเมืองโปรดที่สุดในจอร์เจียสำหรับฉันเลยล่ะ

ผู้เขียน: ตรีสุคนธ์ จีระมะกร (ตรี)

นักแปลและนักเขียนฟรีแลนซ์

No Comments

Sorry, the comment form is closed at this time.