05 Oct เที่ยวอัลค์มาร์ (Alkmaar) ตอนที่ 1: เดินเล่นในใจกลางเมืองอัลค์มาร์และแชร์ประสบการณ์ใช้ชีวิต 1 อาทิตย์ในบ้านคนดัตช์
เที่ยวอัลค์มาร์ด้วยตัวเอง: แชร์ประสบการณ์ใช้ชีวิต 1 อาทิตย์ในบ้านคนดัตช์
ภาพของอาคารบ้านเมืองในเมืองอัลค์มาร์หลังจากออกจากสถานีรถไฟ Alkmaar
วันที่เราไปอัมสเตอร์ดัมวันแรกเป็นช่วงเทศกาล Pride ทำให้เห็นนักท่องเที่ยวเดินไปมาอยู่ตามท้องถนนมากมาย เห็นขยะตามรายทางบ้างจากการเฉลิมฉลองในวันก่อนหน้า ทำให้ความคาดหวังที่มีว่าอัมสเตอร์ดัมน่าจะเป็นเมืองที่เงียบสงบและสะอาดสะอ้านถูกหดลดลงไปบ้าง แต่เพื่อนเราคนไทยที่เคยมาเที่ยวที่อัมสเตอร์ดัมบอกว่าปกติตอนไม่มีเทศกาลไม่เป็นแบบนี้และสะอาดกว่านี้ เราไปเที่ยวอัมสเตอร์ดัม 2 วันด้วยกันคือวันนึงที่เป็นช่วงเทศกาลและอีกวันหลังจากนั้นหลายวัน บรรยากาศต่างกัน หากเพื่อนๆเดินเล่นไปเรื่อยๆจนออกจากโซนท่องเที่ยวมาแล้วก็จะได้เห็นอีกมุมของที่นี่ ที่ๆที่เป็นย่านอาศัยของคนอัมสเตอร์ดัมจริงๆ เงียบสงบและน่าอยู่..
ภาพด้านล่างเป็นตู้แลกหนังสือที่ตั้งอยู่หน้าบ้านในเมืองอัลค์มาร์ เจ้าของบ้านตั้งไว้ให้เผื่อใครอยากได้หนังสือเล่มไหนไปอ่านก็หยิบไปได้เลย ใครอยากยื่นหมูยื่นแมว เอาหนังสือของตัวเองมาแลกให้เจ้าของบ้านอ่านด้วยก็ได้ ทำไมน่ารัก ก็แบ่งปันกันซี อยู่ละแวกเดียวกัน 🙂
หากเพื่อนๆพอจะมีเวลาเที่ยวนอกเมืองอัมสเตอร์ดัมบ้าง เราอยากแนะนำอีกหนึ่งเมืองที่ไม่ไกลจากอัมสเตอร์ดัมนักให้ได้รู้จักกันค่ะ โดยสามารถนั่งรถไฟไปได้จากสถานี Amsterdam Centraal ประมาณ 40 นาทีเท่านั้น เมืองนี้มีชื่อว่า “อัลค์มาร์” (Alkmaar) เมืองที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศเนเธอร์แลนด์
เที่ยวอัลค์มาร์ด้วยตัวเอง: บ้านของคนดัตช์
เราได้มีโอกาสอยู่ที่เมืองนี้นานกว่าอัมสเตอร์ดัมเพราะแวะมาเยี่ยมเพื่อนชาวดัตช์ด้วยซึ่งบ้านของครอบครัวเค้าตั้งอยู่ที่เมืองนี้ จากการที่ได้มีโอกาสไปอาศัยในชายคาบ้านเดียวกันกับคนดัตช์เป็นเวลา 1 อาทิตย์ก็ได้เห็นการใช้ชีวิตของคนที่นี่อย่างใกล้ชิดขึ้นมาอีกหน่อย บ้านของพวกเค้าน่ารักมาก บ้านของเพื่อนเป็นหนึ่งในบ้านแฝดที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านคล้ายหมู่บ้านจัดสรรในไทยนี่ล่ะ แต่ที่นี่ไม่มีการปิดทางเข้าออกที่ต้องมียามเฝ้าอยู่ที่ป้อมที่แทบจะหลับตลอดเวลาหรือต้องมีรั้วกั้น บ้านแบบดัตช์เป็นบ้านทรงสูง ข้างในมีหลายชั้น เรานอนชั้นบนสุดซึ่งเป็นห้องใต้หลังคาที่เคยเป็นห้องนอนของน้องสาวเพื่อนมาก่อน แต่ตอนนี้เธอโตและย้ายออกไปเรียนมหาลัยที่เมืองอื่นแล้ว หลังคาบ้านค่อนข้างสูงทำให้ห้องข้างใต้มีขนาดใหญ่และค่อนข้างกว้าง ตรงข้ามเป็นห้องเก็บของ และตรงกลางเป็นที่ตั้งของโต๊ะคอมพิวเตอร์ ใต้บันไดเป็นที่เก็บของ ด้านข้างในห้องที่เรานอนมีหน้าต่างกระจกที่มองออกไปแล้วเห็นท้องฟ้า ด้านตรงข้ามที่ผนังมีตัวอักษรบนกำแพงเขียนเอาไว้ว่า “Don’t worry Be happy” 🙂 คนดัตช์เค้าบอกตัวเองไว้อย่างนั้น เราก็พร่ำบอกตัวเองด้วยประโยคนี้เช่นกัน
ชั้นล่างสุด ตรงทางเข้ามีห้องน้ำขนาดเล็กหนึ่งห้อง เปิดประตูเข้ามาเป็นห้องนั่งเล่นพร้อมโซฟาขนาดใหญ่ 2 โซน ถัดไปเป็นโซนของครัวและโต๊ะกินข้าว ด้านหลังเป็นสวนขนาดเล็กหลังบ้าน ข้างนอกบ้านมีที่จอดรถสำหรับ 1 คันและห้องสำหรับเก็บจักรยานหลายคันและเครื่องมือต่างๆ ที่เราทึ่งมากคือพ่อของเพื่อนขี่จักรยานอิเล็กทรอนิกส์ไปทำงานทุกวันไปกลับกว่า 70 กิโล ! อีก 2 ชั้นระหว่างกลางเป็นชั้นสำหรับห้องทำงาน ห้องนอน 2 ห้อง ห้องน้ำ และห้องที่เต็มไปด้วยหนังสือ ภายในบ้านตกแต่งด้วยของฝากจากประเทศต่างๆที่พ่อกับแม่ของเพื่อนได้ไปเที่ยวด้วยกันมา หลังจากลูกทั้ง 4 คนโตจนออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านกันหมดแล้ว บ้างก็ทำงาน บ้างก็เรียนต่อ พ่อกับแม่ก็เริ่มพากันเที่ยวต่างประเทศกัน ซึ่งเร็วๆนี้พวกเค้าก็จะไปเที่ยวที่ประเทศคอสตาริกาเป็นเวลากว่า 2 อาทิตย์ เพื่อนเราเองก็กำลังจะไปเรียนต่อที่อเมริกาเร็วๆนี้หลังจากช่วงที่พวกเรามาเยี่ยม
อีกอย่างที่คนที่นี่ชอบคือเชียร์ฟุตบอล เป็นกิจกรรมหลักของคนยุโรปเลย เราไม่อินกับการดูฟุตบอลก็นั่งตากลมดูไปกับเค้า อาจจะเป็นเพราะวันนี้เป็นทีมเมืองของพวกเค้าเองแข่งด้วย แต่ถึงพวกเค้าจะชอบอย่างไร พออาหารเย็นถูกตั้งโต๊ะพร้อมกินแล้ว ทุกคนก็หยุดเพื่อไปกินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตา พวกเค้าถามเราว่า เวลากินข้าวคนไทยมีต้องสวดอะไรก่อนไหมก่อนจะลงมือกิน เราบอกไปว่าไม่มี มีก็แต่บางคนจะยกมือขึ้นไหว้จานข้าวหลังจากที่กินเสร็จแล้วเป็นการขอบคุณมื้ออาหารนั้นที่เลี้ยงเราให้เติบโต
มื้อค่ำวันแรก พ่อกับแม่ทำกับข้าวให้พวกเราได้กินด้วยกันเป็นสปาเก็ตตี้ที่เต็มไปด้วยผักนานาชนิด เนื้อสัตว์นิดหน่อย กินคู่กับชีสป่นโรยหน้า เราไม่ชอบกินผัก แต่รู้สึกว่ามื้อนั้นเพื่อสุขภาพแถมอร่อย เพิ่งรู้ว่าสปาเก็ตตี้กินคู่กับชีสคือดี นี่คือตั้งใจกินให้หมดด้วย เกรงใจเค้า >.< พ่อหยิบซอสเผ็ดของอินโดนีเซียมาให้เราลองกินเพราะรู้ว่าเราชอบกินเผ็ด เค้าเรียกมันว่า “Sambal” กินไปเราก็ว่าไม่เห็นเผ็ดเลย ออกจะหวาน พี่เลยอวดน้ำพริกไทยบ้านเราบ้างอย่าง “น้ำพริกนรก” กล่องละ 7 บาทที่ซื้อจากเซเว่นมาโชว์ซะหน่อย (ใช่ค่ะเราพกน้ำพริกและพริกผงซองเล็กๆจากไทยมาด้วย ผ่านมาได้ทุกด่านเวลาบิน) พ่อลองกินบอกว่าไม่เห็นเผ็ดเลย (ก็ใส่ไปแค่นิดเดียวเองนี่นา ฮ่าๆ) เพื่อนเราลองก็ชอบ บอกว่ามีกลิ่นคล้ายซีฟู้ด เราบอกไปว่ามันมีส่วนผสมของกุ้งแห้งอยู่ด้วย ส่วนแม่ไม่ชอบกินเผ็ดเลยไม่แตะเลย ส่วนเราแฮปปี้เจอคนที่ชอบกินเผ็ดเหมือนกัน ตอนเดินเล่นในเมืองก็เห็นร้านอาหารอินโดนีเซียอยู่ เดินเล่นในตลาดในเมืองก็มีซุ้มขายสมุนไพรและผลิตภัณฑ์จากอินโดนีเซียขายโดยคนอินโดเอง บางครั้งในเมนูอาหารในร้านอาหารต่างๆก็จะมี Sambal เป็นส่วนผสมอยู่ด้วย ในสมัยก่อนคนดัตช์เคยปกครองประเทศอินโดนีเซีย ทำให้วัฒนธรรมเรื่องอาหารยังมีอิทธิพลต่อประเทศเนเธอร์แลนด์มาจนถึงปัจจุบัน เห็นได้ชัดก็วันนี้
กินไป คุยกันไป อาหารโอเคไหม? โอเคมาก อร่อยมากค่ะ ระหว่างนั้นก็เหยาะพริกเพิ่มลงไปในสปาเก็ตตี้ด้วย แม่เพื่อนเห็นก็แบบอึ้งๆ กินเผ็ดอะไรขนาดนั้น หลังจากกินอาหารเสร็จ ก็คุยเรื่องนู่นเรื่องนี่กัน เป็นบทสนทนาระหว่างมื้ออาหาร ว่าคนไทยกินข้าวกันทุกมื้อบ้าง ขนมปังเป็นเหมือนขนมสำหรับพวกเรามากกว่า คุยกันถึงญี่ปุ่นว่าพวกเค้าค่อนข้างเครียดเวลาทำงานบ้าง จำไม่ได้ทุกอย่างว่าคุยอะไรกันไปบ้าง แต่จำได้ว่าชอบบรรยากาศนั้น บรรยากาศที่ทุกคนกินข้าวด้วยกัน คุยกัน ใช้เวลาด้วยกัน ตบท้ายด้วยของหวาน ไอศครีม Ben&Jerry ที่หวานสะใจ พร้อมข่าวดีจากพ่อหลังจากที่กินข้าวเสร็จแล้วว่าผลฟุตบอลออกมาแล้วและทีมอัลค์มาร์ชนะ เย้!
เที่ยวอัลค์มาร์ด้วยตัวเอง: มื้อเช้าแบบยุโรป
ตื่นเช้ามาก็กินอีก มื้อเช้าแบบยุโรปที่พี่ต้องเผชิญต่อจากนี้อีกหลายวัน ก่อนอื่นเลยคือชงกาแฟให้กับทุกคน คนที่นี่ไม่กินหวานเลย เราเองคนเดียวเลยมั้งที่กินกาแฟใส่น้ำตาล ต่อมาขาดไม่ได้เลยคือตะกร้าขนมปัง ขนมปังที่ว่าก็ไม่ใช่ขนมปังขาวซะด้วย เค้าชอบกันมากที่มีเมล็ดธัญพืชเยอะๆ จากนั้นก็เอาทุกอย่างที่กินกับขนมปังได้มาวางเรียงกันบนโต๊ะจนเต็ม ทั้งเนย แฮมไก่ แฮมหมู แฮมเนื้อ บางครั้งก็ทำไข่เจียวเพิ่มด้วย ที่ชอบคือเค้าใช้น้ำมันน้อยมาก บางครั้งใช้เป็นเนยที่ละลายในน้ำมันโอลีฟแทนน้ำมันพืช เฮลตี้กันไป ต่อด้วยแยมผลไม้ น้ำผึ้ง นูเทลล่า (เยส! เจออะไรที่ชอบแล้ว) เพิ่มเติมด้วยผลไม้ต่างๆอย่างบลูเบอร์รี องุ่น ราสเบอร์รี (เบอร์รีที่นี่ถูกมาก ในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ไทยตกแพ็คละ 200 แต่ที่นี่ปริมาณพอๆกันเหลือแค่ 60 บาทได้) พอโต๊ะเต็มได้ที่แล้วก็เริ่มลงมือกินได้
ทาเนยกับขนมปังแล้วใส่แฮมบ้าง ทาแยมหรือนูเทลล่าบ้าง กินสลับกันไปมาจนอิ่ม บางทีก็มีโยเกิร์ตเพิ่มมาด้วย เป็นแบบนี้ทุกเช้า ตอนอยู่ไทยพี่กินซุปเนื้อเผ็ดๆกับข้าวทุกสาย เจอขนมปังแบบนี้ทุกเช้าสำหรับพี่ออกจะน่าเบื่อนิดๆ พี่เลยเพิ่มรสชาติด้วยการโรยพริกไทยเยอะๆบ้าง โรยพริกบนแฮมบ้าง ให้ฝรั่งเค้าขำเราเล่น ส่วนเราก็อร่อยของเราไป ฮ่าๆ มีวันนึงเพื่อนเราแนะนำให้ลองกินโยเกิร์ต (แน่นอนว่าเป็นรสธรรมชาติที่แทบไม่หวานเลย) คู่กับบลูเบอร์รีสดๆแล้วราดด้วยน้ำผึ้ง กินเข้าไปคำแรก เอ้ย อร่อยจริงๆด้วย ติดใจเลย เพื่อนๆลองทำกินดูนะ ฟินนน อีกอย่างที่ดีของที่นี่คือ เราสามารถดื่มน้ำจากก๊อกได้เลย พกขวดน้ำแล้วกรอกน้ำไว้ดื่มเวลาไปไหนมาไหนได้สบาย ไม่ต้องซื้อน้ำดื่มให้เปลืองเงินและเพิ่มขยะจากพลาสติก เพราะน้ำก๊อกที่นี่เค้าสะอาดพอให้เราใช้ดื่มได้เลย
เที่ยวอัลค์มาร์ด้วยตัวเอง: ทะเลสาบในหมู่บ้าน
ข้างๆหมู่บ้านมีทะเลสาบแห่งหนึ่งที่มีขนาดใหญ่มาก เราเดินรอบทะเลสาบจนขาลากมาแล้ว ฮ่าๆ อากาศไม่ร้อนแถมท้องฟ้าอึมครึม พอจะนั่งอ่านหนังสือใต้ต้นไม้เท่านั้นแหละฝนก็ทำท่าจะตก เราเลยรีบก้าวยาวๆกลับบ้านไปหลบฝน กว่าจะถึงก็เปียกฝนปรอยๆกันไป พอถึงบ้านปุ๊ปฟ้ากลับใสแจ๋วขึ้นมาเฉยเลย แต่อดอิจฉาคนฮอลแลนด์เค้าไม่ได้จริงๆที่มีธรรมชาติแบบนี้อยู่ใกล้บ้าน ที่นี่ไม่ใช่แค่ทะเลสาบแต่เป็นเหมือนป่าขนาดย่อมเลยเพราะเต็มไปด้วยต้นไม้มากมาย ระหว่างกำลังซ้อนจักรยานก็บังเอิญเจอเข้ากับกระต่ายป่าตัวเบอเริ่ม พอเห็นคนก็หนีเข้าพุ่มไม้ไป นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เราเจอกระต่ายป่าใช้ชีวิตอยู่ในธรรมชาติ ระหว่างทางก็เห็นคนฮอลแลนด์มากมายไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้สูงอายุออกมาขี่จักรยานเล่นรอบๆทะเลสาบแห่งนี้กัน ผู้สูงอายุที่นี่แต่ละคนดูแข็งแรงมาก ท่าขี่จักรยานเค้าทะมัดทะแมงกว่าเราซะอีก เดินไปไกลหน่อยก็จะเป็นพื้นที่ของฟาร์มแกะและม้าที่เป็นที่ให้คนมาฝึกขี่ม้ากัน ส่วนใกล้ทางกลับบ้านเป็นสวนผัก
เที่ยวอัลค์มาร์ด้วยตัวเอง: เดินเล่นในตัวเมืองอัลค์มาร์ (Alkmaar)
ได้เวลาไปเดินเล่นในเมืองกันแล้ว.. เดินบนถนนมาเรื่อยๆจนถึงสะพานข้ามคลองก็จะเห็นคลองขนาดเล็กตัดผ่านใจกลางเมืองที่คงรูปแบบเดิมมาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 17 เช่นกันกับถนนที่มีลักษณะค่อนข้างแคบของที่นี่ แน่นอนว่ามองไปก็ต้องไปป๊ะเข้ากับ Boat tour ที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวนั่งเรือชมบรรยากาศของเมืองโดยรอบพร้อมฟังไกด์เล่าเรื่องราวความเป็นมาของตึกนู้นตึกนี้ มองไปฝั่งตรงข้ามนู่นก็จะเห็นหอทรงคล้ายกับโบสถ์ แต่จริงๆแล้วเป็นที่เหมือนกับโกดังเก็บชีสในสมัยก่อน ปัจจุบันถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆเกี่ยวกับชีส ทุกๆวันศุกร์จะมีการตั้งบูธขายชีสเรียงรายอยู่ที่ลานกว้างข้างหอนั้น ใครที่ชอบกินชีสก็มาเดินเล่นในเมืองกันวันศุกร์ดูนะคะ ที่มากกว่าตลาดขายชีสคือจะมีทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวแต่งกายแบบดั้งเดิมมาเชิญชวนให้ซื้อชีสกันด้วย เค้าทำแบบนี้เป็นธรรมเนียมมาเป็นเวลาหลายปี วันที่เรามาไม่ใช่วันศุกร์ก็เลยอดไป แต่ไม่เป็นไรเพราะในร้านตามอาคารในตรอกซอกซอยต่างๆก็มีร้านขายชีสมากมายรอให้เราเข้าไปซื้อเป็นของฝากติดไม้ติดมือกลับกัน
เราถ่ายคู่กับตึกสวยๆในเมืองอัลค์มาร์เก็บไว้ เพื่อนๆลองสังเกตด้านหลังของเราดีๆ เห็นอะไรผิดสังเกตไหมคะ? เพื่อนดัตช์ชี้ให้เราดูบ้านหลังสีเขียวที่มีลูกปืนใหญ่ติดอยู่พร้อมข้อความปีค.ศ. 1573 ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมพบว่าบ้านหลังนี้มีชื่อในภาษาอังกฤษว่า house with the cannonball บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้หนึ่งในไม่กี่หลังในบริเวณนี้ที่ไม่ถูกทำลายจากการเข้าปิดล้อมเมืองโดยสเปนและเกิดสงครามในสมัยนั้นแม้จะถูกยิงด้วยกระสุนปืนใหญ่ก็ตาม กระสุนติดแหง็กอยู่ที่บ้านหลังนี้ แถมคนในบ้านก็โชคดีไม่ได้รับอันตรายอะไรจากเหตุการณ์นี้อีกด้วย ปัจจุบันยังได้มีการติดลูกปืนให้ค้างไว้แบบนั้นเพื่อเตือนใจให้ผู้คนยังระลึกถึงเหตุการณ์นี้ สงครามที่ว่านั้นต่อเนื่องยาวนานกว่า 80 ปีกว่าจะสิ้นสุดลง
คำเตือน: หากเดินไปตามตรอกซอกซอยเรื่อยๆ อาจมีเรื่องให้ช็อกเล็กน้อย เพราะแม้ Alkmaar จะเป็นเพียงแค่เมืองเล็กๆ แต่ก็มีโซนของ Red light district เหมือนกันกับอัมสเตอร์ดัม เราไม่ได้ค้นหาข้อมูลมาก่อน พอเดินผ่านเข้าก็อึ้งเล็กน้อยเพราะมีเหล่าหญิงค้าบริการนั่งอยู่ในห้องกระจกกันแต่วัน และไม่ไกลจากบริเวณของเหล่าร้านค้าต่างๆในตึกสวยๆเก่าแก่ของเนเธอร์แลนด์
บรรยากาศของร้านอาหารในเมืองอัลค์มาร์
คาเฟ่เรือในเมืองอัลค์มาร์
เพื่อนๆสังเกตเห็นกระดิ่งเล็กริมแม่น้ำในภาพไหม? กระดิ่งนี้เป็นของร้านขายไอศครีมด้านหลังเพื่อให้คนที่ขับเรือผ่านไปมาในคลองแห่งนี้สามารถหยุดเพื่อสั่นกระดิ่งสั่งซื้อไอศครีมจากร้านไปกินบนเรือได้นั่นเอง
ผู้คนนั่งริมแม่น้ำในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ในเมืองอัลค์มาร์
เที่ยวอัลค์มาร์ด้วยตัวเอง: ซื้อชีสเป็นของฝากจากเมืองอัลคมาร์ (Alkmaar)
ชีสโอลีฟกับมะเขือเทศ ขนาด 200 กรัม 3.4 ยูโร (110 บาท)
เราเดินตามตรอกซอกซอยมาเรื่อยๆ ก็มาป๊ะเข้ากับร้านขายชีสที่มีหลายแบบหลายประเภทให้เลือกซื้อกันที่ร้าน Alkmaarse Notenbranderij ค่ะ ใครอยากซื้อชีสเป็นของฝากเราแนะนำร้านนี้เลย เพราะมีชีสหลายแบบให้เลือกเยอะมาก แถมมีชีสเป็นชิ้นเล็กๆถูกหั่นไว้ให้ลูกค้าได้ลองชิมแทบจะทุกแบบทุกรสชาติเลย เพื่อนๆจะได้ซื้อชีสที่มีรสชาติที่ตัวเองชอบกลับไปจริงๆ เราเป็นคนนึงที่คิดมาตลอดว่าตัวเองชอบกินชีส แต่พอได้ลองชิมดูหลายๆแบบเข้าก็มีบางอันที่เราชอบและบางอันที่เราไม่ชอบ อย่างชีสของสวิตเซอร์แลนด์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสตรอง เราได้ลองกินดูก็กลิ่นแรงมาก ไม่ชอบเลย แต่เพื่อนดัตช์เรากลับชอบมาก บางชีสเราว่ารสชาติขม แต่มีชีสอันนึงที่เราลองชิมดูที่ร้านเราว่าอร่อยดีคือชีสที่มีส่วนผสมของโอลีฟกับมะเขือเทศ ขนาด 200 กรัม 3.4 ยูโร (110 บาท) ก็มีขนาดประมาณก้อนที่เค้าตัดและแพ็คไว้เรียบร้อยแล้วนั่นเอง
พิกัดร้าน Alkmaarse Notenbranderij: Alkmaarse Notenbranderij Goofle Map
เที่ยวอัลค์มาร์ด้วยตัวเอง: อัลค์มาร์ดังเรื่องชีส
มาถึงโกดังเก็บชีสแล้ว ที่นี่มีชื่อในภาษาอังกฤษว่า “Waag” หรือ “Weigh House” ตึกนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเนเธอร์แลนด์จนถูกยกให้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติ (National Monument) ของเนเธอร์แลนด์เลยทีเดียว ที่นี่ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนให้เป็นโกดังเก็บชีส ช่วงศตวรรษที่ 14 เคยเป็นเหมือนโรงพยาบาลคริสเตียนและเป็นที่พักให้กับนักเดินทางที่มีฐานะยากจนฟรีเป็นเวลา 3 วัน 3 คืนมาก่อน.. บนฝาผนังจะมีภาพของคนกำลังขนชีสในสมัยก่อนติดอยู่ สมัยก่อนชีสที่ทำออกมาจะมีลักษณะกลมดิ๊กแบบในภาพซึ่งต่างจากปัจจุบันที่มีลักษณะแบนกว่า เพราะอะไร? เค้าทำให้ก้อนชีสกลมแบบนั้นเพื่อให้ง่ายต่อการขนส่งด้วยการ “กลิ้ง” ขึ้นลงเรือนั่นเองค่ะ ข้างๆโกดังเก็บชีสแห่งนี้เป็นคลองสำหรับเรือไว้ใช้ขนส่งแต่ก่อน ปัจจุบันในทุกช่วงเดือนเมษายนจนถึงกันยายนของทุกปี ทุกวันศุกร์จะมีตลาดชีสตั้งขายอยู่ข้างๆหอคอยแห่งนี้ค่ะ
และนี่ก็คือสิ่งที่ใช้ขนชีสแต่ก่อน ก็ยังมีเก็บไว้ให้เห็นด้านข้าง
ตราชั่งชีส ใหญ่มากกกก ด้านนึงไว้ใส่ก่อนชีสยักษ์ใหญ่ อีกด้านวางลูกตุ้มเพื่อให้รู้น้ำหนัก
เที่ยวอัลค์มาร์ด้วยตัวเอง: ร้านอาหารกลางแจ้งในอัลค์มาร์
ด้านหลังของหอคอยแห่งนี้เป็นร้านขายของฝากจากเนเธอร์แลนด์ค่ะ ลองแวะเข้าไปดูกันได้หากใครสนใจ ส่วนข้างๆเป็นโซนของร้านอาหารหลายร้านเรียงกันอยู่และมีที่นั่งกลางแจ้ง คนส่วนใหญ่จะนั่งด้านนอกมากกว่าด้านในร้านอาหาร ตอนเราเดินไปเข้าห้องน้ำ ไม่เห็นลูกค้านั่งในร้านเลยมีแต่พนักงาน อากาศเย็นๆแบบนี้นั่งให้พระอาทิตย์ส่องข้างนอกกันหน่อยดีกว่า เราเลยแวะกินมื้อกลางวันกันที่นี่ เรานั่งกันที่ร้านริมสุดเลยที่มีชื่อว่า “De Waag, Alkmaar”
ช็อกโกแลตร้อนๆเสิร์พพร้อมคุกกี้
ร้านอาหารที่เนเธอร์แลนด์ส่วนใหญ่คนรับออเดอร์เครื่องดื่มกับอาหารจะเป็นคนละคนกัน เค้าแบ่งหน้าที่กันชัดเจนเลย เพื่อนดัตช์เราก็เคยทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟ ทำให้ลูกค้าเวลาสั่ง จะสั่งเครื่องดื่มก็ต้องสั่งกับคนนึง อาหารต้องสั่งกับอีกคนนึง
Kalfskroketten 8 ยูโร (270 บาท)
เพื่อนดัตช์แนะนำให้เราลองกินโครเก็ต (Kroket) ซึ่งเป็นหนึ่งในอาหารพื้นเมืองของชาวดัตช์เค้าให้ได้ ทำมาจากมันฝรั่งบดเข้ากับเนื้อไก่แล้วนำไปทอด เราเลยสั่งมา 1 จาน เพื่อนดัตช์ก็กินเมนูเดียวกัน เสิร์ฟคู่กับขนมปังและสลัด เราลองกินไปได้นิดเดียวก็ต้องจอดเพราะค่อนข้างเลี่ยน ฮ่าๆ เพื่อนดัชต์ต้องช่วยกินให้หมดไปอี๊ก
พิกัดร้าน De Waag, Alkmaar: De Waag, Alkmaar Google Map
เที่ยวอัลค์มาร์ด้วยตัวเอง: โบสถ์กลางเมืองอัลค์มาร์ Saint Joseph’s Church
ภาพของโบสถ์ Saint Joseph’s Church กลางเมือง
Organ ภายในโบสถ์ที่ถือว่าเป็น organ ชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งในโลก
บนหลังคาด้านบนเป็นภาพวาดเรื่องราวของพระเยซูคริสต์
กระจกสีภายในโบสถ์
แม่ของเพื่อนพาเราเดินไปที่โบสถ์ที่ตั้งเด่นอยู่กลางเมืองที่มีชื่อว่า “Saint Joseph’s Church” เป็นโบสถ์โปรเตสแตนต์และมีสถาปัตยกรรมแบบฟื้นฟูกอทิกที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษ นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปชมด้านในได้ฟรีในช่วงซัมเมอร์เท่านั้น ปัจจุบันก็ยังเป็นโบสถ์ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนที่นี่ แม่ของเพื่อนดัตช์บอกเราด้วยความภาคภูมิใจหลายครั้งว่าเธอเคยมาร่วมงานตอนที่โบสถ์มีการสร้างบันไดให้คนขึ้นไปดูวิวเมืองได้ด้วย วันนั้นมีคนสำคัญมาร่วมพิธีด้วยมากมาย ที่นี่มีหลุมฝังศพของบุคคลสำคัญ 2 คนด้วยกัน คนแรกคือ Floris V (count of holland) ปกครองฮอลแลนด์ในช่วงศตวรรษที่ 12 เป็นเวลา 40 ปีที่ได้ปกครองนั้น บ้านเมืองเต็มไปด้วยความสงบสุข บริหารบ้านเมืองให้ก้าวไปข้างหน้า การค้าขายรุ่งเรือง น่าเศร้าที่กลับถูกสังหารในภายหลัง ส่วนคนที่สองคือ Anna Visscher เป็นศิลปิน นักกวีและนักแปลที่มากความสามารถ ถูกยกย่องชื่นชมโดยศิลปินด้วยกันเองหลายคน ภายหลังเธอเสียชีวิตที่บ้านของพี่สาวของเธอที่ตั้งอยู่ในเมืองอัลค์มาร์ ผลงานของเธออย่าง “Rummer with an engraved poem on Constantijn” แก้วที่ถูกแกะสลักบทกวีก็ถูกโชว์อยู่ในริกส์มิวเซียมอีกด้วย
พิกัดโบสถ์ Saint Joseph’s Church: Grote or Sint-Laurenskerk Google Map
หลังจากเดินออกมาจากโบสถ์ 2 ข้างถนนจะเต็มไปด้วยเหล่าร้านอาหารและร้านค้าต่างๆ เจอร้านอาหารไทยและร้านนวดไทยด้วยละ แม่เพื่อนดัตช์ชี้ให้เราดูเจ้าตุ๊กตาปั้นที่กำลังเป่าเครื่องดนตรีบนอาคาร เราเลยถ่ายรูปเก็บไว้ น่ารักดี หลังจากเพื่อนๆเข้าไปดูโบสถ์เสร็จแล้ว ตอนเดินออกมาลองมองหาเจ้าตุ๊กตานี้ดูค่ะ 🙂
เราสามารถซื้อของกินราคาถูกได้จากเครื่องหยอดเหรียญได้ด้วยเช่น Kroket
ร้านขายผลไม้ใน Alkmaar
สตรอเบอร์รี่ลดราคาในตลาดนัดวันเสาร์ (Onze markten หรือ Alkmaarse Markt) Alkmaar 2 ถาด 4.5 ยูโร (150 บาท)
สตูปวาฟเฟิลในตลาดนัดวันเสาร์ อัลค์มาร์
เหล่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ในเนเธอร์แลนด์หวานอร่อยและราคาถูกมากเมื่อเทียบกับเบอร์รี่ที่ไทย เราซื้อสตรอเบอร์รี่ในตลาดนัดวันเสาร์ Alkmaarse Markt 1 แถม 1 4.5 ยูโรเท่านั้น แม้แต่ในซูเปอร์มาร์เก็ตเองก็ราคาถูกเช่นกัน ยังไงเพื่อนๆอย่าลืมกินเบอร์รี่ราคาถูกในเนเธอร์แลนด์จุกๆให้หนำใจกันก่อนกลับไทยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นสตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ หรือ ราสเบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ที่ไม่มีแบบสดๆในไทย นอกจากเบอร์รี่แล้ว มาเนเธอร์แลนด์ทั้งทีต้องลองกินสตูปวาฟเฟิลหรือวาฟเฟิลน้ำเชื่อมเนเธอร์แลนด์ (stroopwafel) ที่ทำแบบสดๆกันที่ตลาดแห่งนี้กัน เราเคยลองกินแบบสำเร็จรูปในซองที่ไทยแต่เทียบไม่ติดเลยกับวาฟเฟิลร้อนๆที่เพิ่งออกจากเตา แถมชิ้นยังใหญ่มาก ราคาก็ไม่แพง ฟินๆ หวานเยิ้มๆกันไปเลย ใครอยากซื้อกลับเป็นของฝาก ที่ร้านก็มีกล่องใส่สวยๆลวดลายแบบดัตช์ให้ได้เลือกซื้อกัน ร้านตั้งอยู่ที่ทางเข้าของตลาดด้านซ้ายมือค่ะ นอกจากนี้ตลาดยังขายเสื้อผ้า อาหาร ขนม และของใช้อื่นๆมากมายในราคาไม่แพง คล้ายถนนคนเดินบ้านเรา ใครอยู่ในอัลค์มาร์วันเสาร์ก็ไปเดินเล่นที่ตลาดแห่งนี้กันได้เพลินๆ ตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น
พิกัดตลาด Alkmaarse Markt: Alkmaarse Markt Google Map
อ่านตอนก่อนหน้าของเที่ยวเนเธอร์แลนด์ด้วยตัวเองได้ที่นี่:
- เที่ยวอัมสเตอร์ดัมด้วยตัวเอง: เดินเล่นรอบๆอัมสเตอร์ดัมให้ขาลากแล้วแวะกินสเต๊กร้านอร่อยในอัมสเตอร์ดัมที่แนะนำโดยคนดัตช์เอง !
- เที่ยวยุโรปครั้งแรกด้วยตัวเอง: เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม แนะนำวิธีเดินทางด้วยรถบัส รถไฟ และเครื่องบิน แนะนำเว็บไซต์จองที่พักราคาถูก ไม่อยากพกเงินสดเยอะต้องทำยังไง แพลนเที่ยวยุโรป 2 เดือน และรีวิวบินไปยุโรปกับ Qatar Airways
อ่านตอนต่อไปของเที่ยวเนเธอร์แลนด์ด้วยตัวเองได้ที่นี่: เที่ยวอัลค์มาร์ (Alkmaar) ตอนที่ 2: ขี่จักรยานไปเที่ยวเนินทราย (dune) และเล่าบรรยากาศปาร์ตี้คืนวันศุกร์ในบาร์ที่อัลค์มาร์
เช็คราคาตั๋วเครื่องบินกรุงเทพ-อัมสเตอร์ดัมได้ที่นี่: http://bit.ly/flights-bangkok-amsterdam
เรื่อง: ตรีสุคนธ์ จีระมะกร (ตรี)
- รับจ้างเขียน content สนใจส่งข้อความมาทางเว็บไซต์ได้เลยค่ะ
- รับจองตั๋วเครื่องบินทั้งในไทยและต่างประเทศราคาถูก สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมและทักแชทมาได้ที่ Helloholidays.xyz FB Page
เที่ยวอัลค์มาร์ (Alkmaar) ตอนที่ 2: ขี่จักรยานไปเที่ยวเนินทราย (dune) และปาร์ตี้คืนวันศุกร์ในบาร์ที่
Posted at 12:22h, 07 October[…] […]
ภาพบรรยากาศวันพักผ่อนของคนดัตช์ที่ชายหาดชเวนนิงเงน (Scheveningen beach) ณ กรุงเฮก (The Hauge) ทางตอนใต้ของเนเ
Posted at 14:05h, 11 October[…] […]
รีวิวนั่งรถบัสราคาถูกจากอัมสเตอร์ดัม (Amsterdam) มาเบอร์ลิน (Berlin) โดย Flixbus - Take Me Away
Posted at 11:41h, 13 October[…] […]
เที่ยวเบอร์ลิน (Berlin) ตอนที่ 5: แวะไว้อาลัยให้กับชาวยิวกว่า 3 ล้านคนที่เสียชีวิตในช่วงสงครามโล
Posted at 11:29h, 26 October[…] ที่บ้านของพี่ชายแฟนมีแมวอยู่ 2 ตัวอ้วนๆ แต่ก่อนเค้าให้อาหารแมวนอกบ้าน แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนมาให้อาหารในบ้านแทนละเพราะแต่ก่อนตกดึกสุนัขจิ้งจอกชอบออกมาแอบกินอาหารแมวที่เหลือไว้ นึกถึงตอนที่เจอกระต่ายป่าตอนไปเดินเล่นรอบๆทะเลสาปใกลเที่พักของเพื่อนดัตช์ในเมืองอัลค์มาร์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ก็ว่าน่าตื่นเต้นแล้ว มาเจอหมู่ป่ากับสุนัขจิ้งจอกเข้าไปอีกยิ่งเป็นการย้ำเตือนว่า ธรรมชาติบ้านเค้าอุดมสมบูรณ์มากจริงๆ แม้จะเป็นบนพื้นของเมืองใหญ่เองก็ตาม […]
เที่ยวเบอร์ลิน (Berlin) ตอนที่ 5: แวะไว้อาลัยให้กับชาวยิวกว่า 3 ล้านคนที่เสียชีวิตในช่วงสงครามโล
Posted at 12:04h, 26 October[…] นึกถึงตอนที่เจอกระต่ายป่าตอนไปเดินเล่นรอบๆทะเลสาปใกลเที่พักของเพื่อนดัตช์ในเมืองอัลค์มาร์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ก็ว่าน่าตื่นเต้นแล้ว มาเจอหมู่ป่ากับสุนัขจิ้งจอกเข้าไปอีกยิ่งเป็นการย้ำเตือนว่า ธรรมชาติบ้านเค้าอุดมสมบูรณ์มากจริงๆ แม้จะเป็นบนพื้นที่ของเมืองใหญ่เองก็ตาม […]
เที่ยวเบอร์ลิน (Berlin) ตอนที่ 5: แวะไว้อาลัยให้กับชาวยิวกว่า 3 ล้านคนที่เสียชีวิตในช่วงสงครามโล
Posted at 12:14h, 26 October[…] นึกถึงตอนที่เจอกระต่ายป่าตอนไปเดินเล่นรอบๆทะเลสาบใกล้ที่พักของเพื่อนดัตช์ในเมืองอัลค์มาร์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ก็ว่าน่าตื่นเต้นแล้ว มาเจอหมู่ป่ากับสุนัขจิ้งจอกเข้าไปอีกยิ่งเป็นการย้ำเตือนว่า ธรรมชาติบ้านเค้าอุดมสมบูรณ์มากจริงๆ แม้จะเป็นบนพื้นที่ของเมืองใหญ่เองก็ตาม […]
รีวิวเที่ยวอัมสเตอร์ดัมด้วยตัวเอง 2019: เดินเล่นรอบๆอัมสเตอร์ดัมให้ขาลากแล้วแวะกินสเต๊กร้
Posted at 14:07h, 10 November[…] […]
เที่ยวไลพ์ซิก (Leipzig) ตอนที่ 3: เดินเล่นรอบๆในตัวเมืองไลพ์ซิก เมืองที่ถูกโหวตให้เป็นที่สุดของ
Posted at 13:05h, 26 November[…] ใกล้กันกับบริเวณของ old city hall เป็นที่อยู่ของห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ของไลพ์ซิกที่มีชื่อว่า Madler Passage ที่สร้างอยู่ ณ ใจกลางเมืองไลพ์ซิกเป็นเวลากว่า 500 ปีที่แล้ว ปกติเราจะเห็นเหล่าร้านค้าต่างๆในลักษณะเรียงกันบนถนนช้อปปิ้งกันซะเป็นส่วนใหญ่ทั้งตอนที่เราไปเที่ยวอัมสเตอร์ดัมและเที่ยวอัลค์มาร์ ส่วนในเบอร์ลินก็เห็นว่ามีห้างขนาดใหญ่ที่ย่านอเล็กซานเดอร์พลาทซ์แต่ก็เป็นตึกแบบสมัยใหม่ไม่ต่างจากกรุงเทพ ส่วนห้างนี้มีความแตกต่างตรงที่อาคารมีความเก่าแก่ตั้งแต่สมัยที่ไลพ์ซิกรุ่งเรืองจากการค้าในสมัยก่อน ภายในตรงทางเดินเองก็มีความสวยงาม มีการประดับประดาด้วยต้นไม้ตามทางเดิน ส่วนร้านข้างในก็ดูหรูมากจนไม่อยากคิดถึงราคาของภายในร้านเลย คนเดินห้างไม่ได้เยอะมากเท่าไหร่ แต่ที่นี่มีร้าน Auerbach’s Keller ที่มีชื่อเสียงจากการเป็นบาร์ไวน์โปรดของนักเขียนชื่อดังของประเทศเยอรมันที่ชื่อว่า Goethe สมัยเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยไลพ์ซิก ภาพวาดเก่าแก่ในร้านตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เกี่ยวกับปีศาจมีส่วนเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือเรื่อง Faust ของเค้า ทำให้สังเกตได้ว่าจะมีคนไปยืนถ่ายรูปที่รูปปั้นซีนหนึ่งในหนังสือที่ปีศาจกำลังพา Faust ไปท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่หน้าร้านเป็นที่ระลึกกันใหญ่ […]
เที่ยวไลพ์ซิก (Leipzig) ตอนที่ 3: เดินเล่นรอบๆในตัวเมืองไลพ์ซิก เมืองที่ถูกโหวตให้เป็นที่สุดของ
Posted at 05:57h, 27 November[…] ใกล้กันกับบริเวณของ old city hall เป็นที่อยู่ของห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ของไลพ์ซิกที่มีชื่อว่า Madler Passage ที่สร้างอยู่ ณ ใจกลางเมืองไลพ์ซิกเป็นเวลากว่า 500 ปีที่แล้ว ปกติเราจะเห็นเหล่าร้านค้าต่างๆในลักษณะเรียงกันบนถนนช้อปปิ้งกันซะเป็นส่วนใหญ่ทั้งตอนที่เราไปเที่ยวอัมสเตอร์ดัมและเที่ยวอัลค์มาร์ ส่วนในเบอร์ลินก็เห็นว่ามีห้างขนาดใหญ่ที่ย่านอเล็กซานเดอร์พลาทซ์แต่ก็เป็นตึกแบบสมัยใหม่ไม่ต่างจากกรุงเทพ ส่วนห้างนี้แตกต่างตรงที่อาคารมีความเก่าแก่ตั้งแต่สมัยที่ไลพ์ซิกรุ่งเรืองจากการค้าในสมัยก่อน ภายในตรงทางเดินเองก็มีความสวยงาม มีการประดับประดาด้วยต้นไม้ตามทางเดิน ส่วนร้านข้างในก็ดูหรูมากจนไม่อยากคิดถึงราคาของภายในร้านเลย คนเดินห้างไม่ได้เยอะมากเท่าไหร่ แต่ที่นี่มีร้าน Auerbach’s Keller ที่มีชื่อเสียงจากการเป็นบาร์ไวน์โปรดของนักเขียนชื่อดังของประเทศเยอรมันที่ชื่อว่า Goethe สมัยเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยไลพ์ซิก ภาพวาดเก่าแก่ในร้านตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เกี่ยวกับปีศาจมีส่วนเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือเรื่อง Faust ของเค้า ทำให้สังเกตได้ว่าจะมีคนไปยืนถ่ายรูปที่รูปปั้นซีนหนึ่งในหนังสือที่ปีศาจกำลังพา Faust ไปท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่หน้าร้านเป็นที่ระลึกกันใหญ่ […]
เที่ยวไลพ์ซิก (Leipzig) ตอนที่ 5: บ้านเล็กในสวนของคนไลพ์ซิก ตลาดขายของเก่า Agra และ farmer market กลางเมือง - Take
Posted at 12:24h, 10 December[…] […]