เที่ยวไอซ์แลนด์ด้วยตัวเอง ขับรถรอบเกาะภายใน 7 วัน Day 7: จาก Hvammsvegur ไป Reykjavik

เที่ยวไอซ์แลนด์ด้วยตัวเอง ขับรถรอบเกาะภายใน 7 วัน Day 7: จาก Hvammsvegur ไป Reykjavik

ทริปเที่ยวไอซ์แลนด์ด้วยตัวเองของเราได้เดินทางมาถึงตอนสุดท้ายจนได้ วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เรายังแวะที่เที่ยวในไอซ์แลนด์ต่างๆ ได้อยู่ เพราะพรุ่งนี้เราต้องตื่นกันแต่เช้าเพื่อจัดการเรื่องคืนรถที่สนามบิน และเตรียมบินกลับไปที่เมืองบูดาเปสด์ ประเทศฮังการี จุดหมายปลายทางที่เราตั้งใจจะไปในวันนี้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของไอซ์แลนด์ที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงเรคยาวิก (Reykjavik) มากนัก นั่นก็คืออุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Thingvellir National Park) โดยระหว่างทางเราแวะที่บ่อน้ำพุร้อนไกเซอร์ (Geysir) และคาเฟ่ในถ้ำที่ชื่อว่า The Cave People เพราะบังเอิญเจอป้ายข้างถนนที่ชวนให้ขับรถตามเข้าไปดู

เที่ยวไอซ์แลนด์ด้วยตัวเอง: ไกเซอร์ (Geysir)

ไกเซอร์ (Geysir)

ไกเซอร์ (Geysir)

ฟ้าครึ้มมาเลยวันนี้ พอขับรถมาถึงที่ไกเซอร์ (Geysir) ก็มีฝนตกแบบปรอยๆ คอยต้อนรับเราอีกแล้ว เราเลยต้องเดินฝ่าฝนลงไปสำรวจกัน ที่นี่คนเยอะมาก! โดยเฉพาะตรงบ่อน้ำพุร้อนขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลาง คนพากันมุงอยู่รอบๆ ถือกล้องกับมือถือยืนรอถ่ายอะไรสักอย่างกันเต็มไปหมด พวกเราเลยเดินผ่านกันไปก่อนเพราะคนเยอะมากจนไม่มีที่ให้เราแทรกตัวเข้าไปได้ จนไปเจอบ่อน้ำพุร้อนที่อยู่ด้านขวาสุด พร้อมกับป้ายชื่อที่ถูกสลักไว้บนก้อนหินซึ่งเป็นที่มาของชื่อสถานที่แห่งนี้ “Geysir”

ไกเซอร์ (Geysir)

ไกเซอร์ (Geysir)

ข้างๆ มีอีกครอบครัวหนึ่งกำลังยืนแถวบ่อน้ำพุร้อนนี้อยู่เหมือนกัน เรายิ้มในใจเมื่อเห็นว่า พวกเขาพาชายคนหนึ่งที่นั่งบนรถเข็นมาเที่ยวและชื่นชมความน่าทึ่งของธรรมชาติไปกับพวกเขาด้วย แม้ทางเดินอาจจะไม่ได้สะดวกมากนักก็ตาม สักพักเราก็ได้ยินเสียงดังตู้มม! จากตรงที่มีคนมุงดูกันอยู่เยอะๆ นั่นเอง มันคือเสียงของน้ำพุระเบิด! ปรากฏการณ์ธรรมชาติซึ่งเป็นไฮไลท์ของที่นี่ หลังจากการแสดงกลางแจ้งอันแสนสั้นนี้จบลง ผู้คนก็ค่อยๆ สลายตัวกันไป ถึงตาเราแล้วล่ะที่จะไปยืนรอถือกล้องแบบใกล้ๆ กับเขาบ้าง..

ไกเซอร์ (Geysir)

ตั๋วไม่ต้องซื้อ ทิปไม่ต้องให้ แถมเข้าไปจับจองที่ยืนได้ตามใจชอบเพื่อรอชมการแสดงที่สรรค์สร้างโดยธรรมชาติ ส่วนมนุษย์นักท่องเที่ยวก็ต้องทนถือกล้องรอกันสักหน่อย เรารอถ่ายภาพ ส่วนแฟนรอถ่ายวิดีโอโดยที่ไม่รู้เลยว่าต้องรอนานแค่ไหน แต่ต่างคนต่างจ้องไปที่บ่อน้ำพุร้อนกันแบบไม่อยากคลาดสายตาเพราะกลัวพลาดจะกดชัตเตอร์ไม่ทันเอา เรารออย่างใจจดใจจ่อ แต่พอถึงเวลาที่น้ำพุระเบิดขึ้นมาจริงๆ ดันตกใจเสียงแล้วก็หันหลังหนีเพราะน้ำกระจายใส่ตัว ลืมกดชัตเตอร์จนได้! ฮ่าๆ แต่แฟนยังแข็งแกร่งถ่ายวิดีโอไว้ได้ทัน พอมาเปิดวิดีโอดูกันอีกที จะเห็นได้ชัดๆ เลยว่าตอนที่น้ำพุกำลังจะระเบิด ความร้อนจากใต้ดินจะดันน้ำขึ้นมาให้กลายเป็น bubble ก่อนแล้วก็ระเบิดออกมาเป็นน้ำพุสูงหลายเมตร!

ไกเซอร์ (Geysir)

ไกเซอร์ (Geysir) 

ตอนที่หาข้อมูลเกี่ยวกับที่เที่ยวในไอซ์แลนด์ตอนแรก เราไม่ได้รวมไกเซอร์ (Geysir) ไว้ในแพลนด้วยเพราะคิดว่าก็เป็นแค่บ่อน้ำพุร้อนธรรมดา ที่เชียงใหม่ก็มี ฮ่าๆ แต่สุดท้ายก็พากันแวะที่นี่เพราะเจอป้ายบอกว่าเป็นทางผ่านพอดี ซึ่งที่นี่ก็ทำให้เรามีโมเมนต์ได้ตื่นเต้นและสนุกกว่าที่คิดไว้ ถ้าใครมาเที่ยวไอซ์แลนด์ด้วยตัวเอง ยังไงก็อย่าลืมเพิ่มไกเซอร์ (Geysir) เข้าไปในแผนเที่ยวไอซ์แลนด์กันด้วยนะ

เที่ยวไอซ์แลนด์ด้วยตัวเอง: คาเฟ่ถ้ำในไอซ์แลนด์ (The Cave People)

คาเฟ่ถ้ำในไอซ์แลนด์ (The Cave People)

คาเฟ่ถ้ำในไอซ์แลนด์ (The Cave People)

จากนั้นเราก็พากันหนีฝนที่ยังตกไม่หยุดในไกเซอร์ (Geysir) โดยออกเดินทางกันต่อ ระหว่างทางเจอป้าย The Cave People ตั้งอยู่ข้างถนนอยู่หลายป้าย เชิญชวนให้แวะเข้าไปตลอดทาง และการตลาดของเขาก็ได้ผล พวกเราตัดสินใจขับรถตามป้ายนี้กันไปดูว่าที่นี่มีอะไร พอไปถึงก็จะเห็นว่าเป็นเนินเขาอยู่รายล้อม มองไปจะเห็นเป็นบ้านหลังเล็กๆ หลังหนึ่งอยู่ใต้เนินเขา ป้ายด้านหน้าบอกเล่าเรื่องราวว่า บ้านหลังนี้ถูกสร้างขึ้นโดยหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปีค.ศ. 1910 และใช้ชีวิตอยู่เป็นเวลา 11 เดือนด้วยกัน เขาค่อยๆ ขุดเอาดินและหินออกมา และสร้างส่วนของบ้านในถ้ำที่มีเตียงนอน ห้องครัว และห้องนั่งเล่น ส่วนข้างๆ กันจัดให้เป็นที่อยู่ของแกะที่พวกเขาเลี้ยง มีสวนมันฝรั่งเล็กๆ อยู่ข้างๆ ในช่วงหน้าร้อนพวกเขาจะขายกาแฟและเค้กที่ทำเองให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางผ่านเส้นทางนี้

คาเฟ่ถ้ำในไอซ์แลนด์ (The Cave People)

คาเฟ่ถ้ำในไอซ์แลนด์ (The Cave People)

คาเฟ่ถ้ำในไอซ์แลนด์ (The Cave People)

ต่อมาในปีค.ศ. 1918 มีคู่รักอีกหนึ่งคู่เข้ามาอาศัยอยู่ที่นี่ต่อ พวกเขามีลูกทั้งหมด 3 คน และสองคนแรกเกิดที่ถ้ำแห่งนี้! ทั้งคู่อาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลา 4 ปี และก็ได้มีโอกาสต้อนรับการเสด็จมาเยือนไอซ์แลนด์ของพระเจ้าคริสเตียนที่ 10 (King Christian X) กษัตริย์ของเดนมาร์กในขณะนั้นด้วย เจ้าของบ้านเสิร์พโยเกิร์ตสไตล์ไอซ์แลนด์ที่เรียกว่า Icelandic skyr ให้ก็เป็นที่ประทับใจจนได้รับทิป 30 โครนาหรือประมาณ 100 บาท (ในปี 1921) เป็นรางวัล 🙂

คาเฟ่ถ้ำในไอซ์แลนด์ (The Cave People)

คาเฟ่ถ้ำในไอซ์แลนด์ (The Cave People)

คาเฟ่ถ้ำในไอซ์แลนด์ (The Cave People)

คาเฟ่ถ้ำในไอซ์แลนด์ (The Cave People)

เราเดินขึ้นเนินเพื่อไปดูบ้านในถ้ำหลังนี้แบบใกล้ๆ สักพักก็ได้ยินเสียงทักทายออกมาจากบ้าน Hello guys! Welcome to the cave people.. เขาเป็นวัยรุ่นชายชาวไอซ์แลนด์ ผมยาว ไว้หนวดไว้เคราตามสไตล์ พร้อมใส่สูทขนสัตว์! ออกมาต้อนรับ เล่าเรื่องราวของสถานที่แห่งนี้ให้พวกเราฟังแบบคร่าวๆ “คุณสามารถซื้อทัวร์เพื่อเข้าชมภายในบ้านหรือจะแวะกินกาแฟหรือชาแทนก็ได้นะ” เราเลยเพิ่งสังเกตเห็นว่าข้างๆ กันมีคาเฟ่เล็กๆ ในถ้ำซ่อนตัวอยู่ พนักงานดูเฟรนลี่มากและการตลาดของเขาได้ผลอีกแล้ว อากาศหนาวๆ แบบนี้ แวะเข้าไปดื่มอะไรร้อนๆ กันสักหน่อยดีกว่า

คาเฟ่ถ้ำในไอซ์แลนด์ (The Cave People)

ข้างในคาเฟ่ตกแต่งด้วยรูปภาพเก่า ตุ๊กตาแกะ ของเก่า และเก้าอี้ถูกปูด้วยขนแกะ มีมุมเล็กๆ เป็นที่ชงกาแฟ พวกเราเลยสั่งกาแฟร้อนและโกโก้ร้อนกันคนละแก้ว ระหว่างนั้นก็ได้พูดคุยกับคนไอซ์แลนด์ไปด้วย เขาเล่าประวัติฉบับย่อของไอซ์แลนด์ให้เราฟังตั้งแต่สมัยไวกิ้ง และบอกว่าที่นี่เคยถูกทิ้งให้รกร้างมาก่อน จนมีครอบครัวหนึ่งได้ขอทางการเข้ามาซ่อมแซมเพื่อเปลี่ยนให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เราถามเขาว่าเขาทำอะไรมาก่อนหน้านี้ เขาบอกว่าทำมาหลายอย่างมากหลังจากที่เรียนจบมาสองปี (อายุพอๆ กับเราเลย) เขาเคยเรียนเป็นเชฟ ทำงานในโรงแรม และเคยจะไปทำงานและใช้ชีวิตอยู่บนเรือ แต่มีโอกาสตรงนี้ด้านการท่องเที่ยวเข้ามาก็เลยคว้าไว้ก่อน

เขาพูดมาอยู่ประโยคหนึ่งที่เราชอบมากประมาณว่า “That is what is cool about life. You don’t know what’s gonna happen tomorrow. What are you gonna be. Just find new things to do because he likes to do new things” เขายังบอกอีกว่าเขาอาศัยอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เดินมาทำงานที่นี่ทุกวัน แอบเห็นข้างหลังที่ชงกาแฟด้วยว่าเขามีเป้แบ็คแพ็คใบใหญ่ เขาเลยบอกว่าพอมีเวลาว่างก็จะออกไปปีนเขา ตั้งแคมป์นอนแถวๆ นี้นี่แหละ ความฝันของเขาก็คือการได้ใช้ชีวิตแบบ Van life เดินทางไปไหนมาไหนด้วยรถตู้ ค่ำไหนนอนนั่น.. เราคุยกันสนุกมาก อาจจะเพราะด้วยวัยที่ใกล้ๆ กัน และมีความชอบ ความใฝ่ฝันที่คล้ายๆ กัน ดีเนอะ ทำงานไป ว่างๆ ก็พาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนที่นี่จริงๆ

การเข้ามาแวะที่นี่โดยบังเอิญของเรากลับเป็นสิ่งที่ทำให้เราประทับใจอีกแล้ว หากได้มีโอกาสมาเที่ยวที่ไอซ์แลนด์ ลองมาที่นี่กันดูได้นะ แวะดื่มเครื่องดื่มร้อนๆ ในราคาที่ไม่ได้แพงมาก พร้อมได้คุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนไอซ์แลนซ์ด้วย เราเห็นนักท่องเที่ยวหลายคนขึ้นมาถ่ายรูปแล้วก็ไป เราก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นในตอนแรก แต่เลือกที่จะสนับสนุนธุรกิจเล็กๆ ของครอบครัวคนไอซ์แลนด์สักนิด ได้ดื่มเครื่องดื่มอร่อยๆ มีบทสนทนาที่ดี ก็กลายเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ดีอีกช่วงเวลาหนึ่งที่เรามีในไอซ์แลนด์และยังจดจำได้จนถึงวันนี้

เที่ยวไอซ์แลนด์ด้วยตัวเอง: อุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Thingvellir National Park)

อุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Thingvellir National Park)

อุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Thingvellir National Park)

และแล้วก็มาถึงจุดหมายที่แท้จริงในวันนี้ของเรา นั่นก็คือ อุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Thingvellir National Park) ซึ่งอุทยานแห่งชาติแห่งนี้มีความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์สำหรับคนไอซ์แลนด์แล้วก็ของโลกเลยก็ว่าได้ เพราะว่าที่นี่คือจุดกำเนิดของ “รัฐสภาแห่งแรกของโลก” ตั้งแต่ปีค.ศ. 930 และได้รับประกาศให้เป็นมรดกโลกในปีค.ศ. 2004 มีใครเป็นแฟนของซีรีส์ฮิตอย่าง “Game of Thrones” เหมือนเราบ้าง? ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่สำหรับถ่ายทำซีรีส์เรื่องนี้ด้วย ในฉากที่ลอร์ดเบลิชพาซัลซ่ามาที่ปราสาทของน้องสาวแม่ซัลซ่า แล้วมีทหารรายล้อมอยู่บนเนินเขาสองข้างทาง และอีกฉากที่อาร์ยานั่งเรือไปที่ดินแดนของเทพไร้หน้านั่นเอง

อุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Thingvellir National Park)

ชนเผ่าไวกิ้ง (Viking) เข้ามาตั้งรกรากในพื้นที่แห่งนี้ตั้งแต่ช่วงปี 800 A.D. โดยพากันอพยพมาจากนอร์เวย์ด้วยเรือเนื่องจากพื้นที่เดิมที่มีอยู่อย่างจำกัด พอมีจำนวนของประชากรเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ต้องมีการตั้งกฎข้อบังคับในการอยู่ร่วมกันขึ้นมา พวกเขาส่งคนไปเรียนรู้กฎต่างๆ ของนอร์เวย์เพื่อนำมาใช้เป็นแบบแผนของไอซ์แลนด์เอง และตั้งชื่อกฎข้อบังคับนั้นตามชื่อของตัวแทนคนนั้นว่า Úlfljót’s Law

อุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Thingvellir National Park)

อุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Thingvellir National Park)

เขาและพี่ชายเลือกให้ที่นี่เป็นจุดนัดพบและประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวร่วมกัน เพราะเหมาะที่จะเป็นทั้งทุ่งสำหรับเลี้ยงสัตว์ มีแหล่งน้ำอยู่ใกล้ๆ มีต้นไม้ให้ได้ใช้เป็นฟืน และมีพื้นที่กว้างให้ตั้งแคมป์กันได้ ที่นี่เคยมีตำแหน่งของ “Law Rock” ที่ Law speaker ใช้เป็นที่ประกาศกฎต่างๆ และยังเป็นที่ที่ให้คนเข้าร่วมประชุมสามารถขึ้นไปประกาศข่าวสำคัญหรือพูดถึงหัวเรื่องอื่นๆ ให้ได้มีการถกเถียงกันอีกด้วย ระหว่างนั้น ศาสนาคริสต์ได้เผยแพร่เข้ามาในไอซ์แลนด์ในช่วงปี .. 1000 กฎหมายได้ถูกเขียนขึ้นมาเป็นรายลักษณ์อักษรครั้งแรกในช่วงปี .. 1117-1118 ในฟาร์มแห่งหนึ่ง และกลายมาเป็นกฎหมายของเครือจักรภพที่มีชื่อว่า Grágás มีการจัดตั้งศาลทั้งหมด 5 แห่งทั่วจักรภพเพื่อใช้ในการตัดสินคดีความ

อุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Thingvellir National Park)

การรวมกันของผู้คนในลักษณะเครือจักรภพ (commonwealth) ของไอซ์แลนด์เช่นนี้เกิดขึ้นในช่วงปีค.. 930 จนถึงปีค.. 1262 เนื่องจากเป็นปีที่ไอซ์แลนด์ต้องทำสนธิสัญญาที่ชื่อว่า Gamli Sáttmáli กับกษัตริย์นอร์เวย์ จนกระทั่งในปีค.. 1281 ไอซ์แลนด์ต้องเปลี่ยนมาใช้กฎหมาย Jónsbók เมื่อตกอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของกษัตริย์นอร์เวย์ และต่อมาในปีค.ศ. 1662 คนในสภาเห็นด้วยที่จะปฏิบัติตามกฎของกษัตริย์ของเดนมาร์ก และมีการประชุมครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นที่นี่ในปี ค.ศ. 1798 เนื่องจากคนไอซ์แลนด์ถูกระงับไม่ให้มีการรวมตัวกันที่นี่อีก

มีการรวมตัวกันอีกครั้งที่นี่ในปีค.ศ. 1848 เพื่อเรียกร้องกษัตริย์เดนมาร์กให้ชาวไอซ์แลนด์สามารถรวมตัวกัน เพื่อประชุมและปรึกษาหารือที่นี่ได้อีกครั้ง จนถึงในปี 1907 ที่ไอซ์แลนด์ได้ประกาศให้ที่นี่เป็นที่รวมตัวกันของคนในชาติ เนื่องจากในช่วงนั้นมีการประกาศอิสรภาพของหลายประเทศมากมายในยุโรป งานครบรอบ 1,000 ปีของไอซ์แลนด์ก็ได้มีการจัดขึ้นที่นี่ในปีค.ศ. 1874 พร้อมทั้งมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรกของไอซ์แลนด์เกิดขึ้นด้วย จากนั้นมาก็ได้มีการประกาศให้ไอซ์แลนด์เป็นประเทศในเดือนมิถุนายน ปี 1944 ถ้านับจนถึงปัจจุบันในปี 2020 ประเทศไอซ์แลนด์มีอายุเพียง 76 ปีเท่านั้น ซึ่งถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอายุค่อนข้างน้อยของโลก

อุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Thingvellir National Park)

อุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Thingvellir National Park)

อุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Thingvellir National Park)

ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของ Summer house ของประธานาธิบดีของไอซ์แลนด์ โดยข้างๆ กันจะมีโบสถ์เล็กๆ อยู่หนึ่งหลัง และมีที่ตั้งของสุสานของคนสำคัญของไอซ์แลนด์ไม่ว่าจะเป็น ประธานาธิบดี จิตรกร หรือนักเขียนชื่อดัง ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาอย่างเรียบง่าย พวกเราเดินเล่นรอบอุทยาน น้ำที่นี่ใสแจ๋ว ปลาตัวใหญ่มาก สูดอากาศบริสุทธิ์กันเต็มที่ นั่งกินแซนด์วิชที่เตรียมมา แล้วก็พากันกลับ ลาก่อน.. ธรรมชาติที่แสนบริสุทธิ์และสวยงามของไอซ์แลนด์ ความทรงจำทั้งหมดในทริปไอซ์แลนด์ครั้งนี้ได้ถูกเก็บไว้ในบล็อกทั้งเจ็ดตอนเรียบร้อยแล้ว ไว้จะกลับมาเปิดดูให้คิดถึงอยู่บ่อยๆ

พวกเรากลับเข้าเมืองและได้พักในโฮสเทลราคาถูกกันอีกครั้งที่ Bus Hostel Reykjavík ราคาประมาณ 500 บาทต่อคน ต่อคืน ตอนที่เรากำลังทำพาสต้ากันกินในมื้อเย็น มีกลุ่มคนอยู่ในห้องครัวเหมือนกัน มีผู้หญิงสองคนที่เป็นนักเรียนแพทย์จากนิวซีแลนด์ที่มาฝึกงานเป็นหมออยู่ที่นี่ใกล้จบแล้ว แล้วก็จะออกไปเที่ยวในไอซ์แลนด์กันก่อนกลับ ผู้ชายอีกคนก็มาเที่ยวที่ไอซ์แลนด์เป็นเดือนแล้ว แต่ละคนได้อยู่ยาวๆ ที่นี่กันทั้งนั้นเลย อดอิจฉาพวกเขาไม่ได้จริงๆ

ส่วน 7 วันในไอซ์แลนด์ของเราผ่านไปไวมาก แต่ก็เต็มอิ่มมากเช่นกัน ได้เดินจนขาลากรอบปล่องภูเขาไฟ แวะเที่ยวน้ำตกหลายที่ในไอซ์แลนด์ที่ทรงพลังทั้งนั้น เดินป่าในอุทยานแห่งชาติของที่นี่ถึงสามแห่ง ออกล่าแสงเหนือด้วยความบังเอิญและก็โชคดีได้เห็นแสงเหนือครั้งแรกในชีวิต ตามหานกพัฟฟิน เดินเล่นเรียบชายหาดสีดำ ฟังเสียงแมวน้ำที่บลูลากูน ดูเพชรจากธรรมชาติที่ Diamond beach ได้เห็นธารน้ำแข็ง (glacier) ที่ทั้งสวยและน่าเกรงขามเป็นครั้งแรกในชีวิต และได้ไปทัวร์ถ้ำน้ำแข็งในภูเขาไฟที่ยังไม่ดับขนาดใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์ ถ้าใครรักธรรมชาติอยู่แล้ว มาที่ไอซ์แลนด์ก็จะยิ่งรักธรรมชาติมากขึ้นไปอีก ส่วนใครที่ไม่ค่อยอินกับธรรมชาติ ลองมาไอซ์แลนด์สักครั้งแล้วไอซ์แลนด์จะเปลี่ยนใจคุณอย่างแน่นอน เขาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติ เคารพธรรมชาติ และดูแลรักษาธรรมชาติได้ดีมากจริงๆ

Reference:

เรื่อง: ตรีสุคนธ์ จีระมะกร

ฟรีแลนซ์นักแปลอังกฤษ <=> ไทยและนักเขียนคอนเทนต์

อ่านเที่ยวไอซ์แลนด์ด้วยตัวเองตอนก่อนหน้าได้ที่นี่:

 

 

 

1 Comment