23 May ปราสาทนอยชวานสไตน์ (Neuschwanstein castle) สวยดุจเทพนิยาย ต้นแบบของปราสาทดิสนีย์
ปราสาทนอยชวานสไตน์ (Neuschwanstein castle) คือแหล่งท่องเที่ยวประเทศเยอรมันที่เราอยากไปเที่ยวมากที่สุด เพราะเคยได้ยินมาว่าปราสาทนอยชวานสไตน์ (Neuschwanstein castle) เป็นปราสาทต้นแบบของปราสาทดิสนีย์! ปราสาทแห่งนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองฟุสเซน (Fussen) ซึ่งเมืองใหญ่ที่ใกล้ที่สุดก็คือมิวนิค (Munich) ตัวปราสาทอยู่ไม่ไกลจากชายแดนของประเทศเยอรมันที่ติดอยู่กับเมืองอินส์บรูค (Innsbruck) ประเทศออสเตรียมากนัก เราเลยวางแผนว่าหลังจากที่ไปเที่ยวปราสาทนอยชวานสไตน์แล้ว จะไปหาเพื่อนชาวออสเตรียที่อยู่ในอินส์บรูค (Innsbruck) ต่อซะเลย
ปราสาทนอยชวานสไตน์ รีวิว
พวกเราบินตรงมาจากเมืองบาร์เซโลนา (Barcelona) ประเทศสเปนตอนกลางคืนและมาถึงที่เมืองมิวนิค (Munich) ช่วงเช้าในราคา 45 ยูโร (1,450 บาท) ต่อคน ด้วยการจองตั๋วเครื่องบินออนไลน์ผ่าน Skyscanner เปรียบเทียบราคาในช่วงเวลาที่ต้องการเดินทางและเลือกเที่ยวบินราคาถูก โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นสายการบิน Wizz Air หรือไม่ก็ Ryan Air สำหรับการเดินทางในยุโรป จากนั้นพวกเราก็ซื้อตั๋วรถไฟที่เครื่องซื้อตั๋วอัตโนมัติหน้าสถานี ซึ่งสถานีรถไฟนั้นเชื่อมต่อกับสนามบินมิวนิค (Munich International Airport) โดยตรงเลย สะดวกมากๆ ค่ะ เราเลือกรอบที่ใกล้ที่สุดหลังเครื่องลงในช่วงเช้าทันที เนื่องจากพวกเราพยายามที่จะไปเที่ยวปราสาทนอยชวานสไตน์ (Neuschwanstein castle) ใน 1 วัน
ตั๋วรถไฟไปปราสาทนอยชวานสไตน์แบบ 1 day pass ในรัฐบาวาเรีย (Bavaria)
ที่มา: www.bahn.de
ราคาตั๋วรถไฟเดินทาง 1 วันในแคว้นบาวาเรีย (Bavaria) สำหรับ 2 คน ราคา 34 ยูโร หรือ 17 ยูโร (590 บาท) ต่อคน โดยถ้าซื้อสำหรับสองคนทีเดียวจะถูกกว่า เพราะถ้าแยกซื้อคนเดียวจะราคา 26 ยูโร (100 บาท) พวกเราซื้อตั๋วรถไฟแบบ 1 day pass จะคุ้มกว่า เพราะขากลับพวกเราต้องนั่งรถไฟกลับไปที่มิวนิคอีกครั้ง แล้วนั่งรถไฟจากมิวนิคไปยังเมืองการ์มิช-พาร์เทินเคียร์เชิน (Garmisch-Partenkirchen) ต่อ เพื่อนั่งรถบัส Flixbus ในตอนกลางคืนในวันเดียวกัน เดินทางข้ามฝั่งไปยังอินส์บรูค (Innsbruck) ผู้อ่านสามารถจองตั๋วรถบัส Flixbus ล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ flixbus.com ได้เลยค่ะ
วิวบนรถไฟจากมิวนิค (Munich) ไปฟุสเซน (Fussen)
เราเหนื่อยจากการนั่งเครื่องบินช่วงกลางคืนแล้วต้องเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้นเลย ก็เลยหลับไปหลายงีบระหว่างที่นั่งรถไฟจากมิวนิค (Munich) ไปฟุสเซน (Fussen) โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงด้วยกัน พอใกล้ถึงเมืองฟุสเซนแล้ว วิวนอกหน้าต่างรถไฟก็จะประมาณในภาพ เต็มไปด้วยต้นไม้และทุ่งหญ้าเขียวขจี ที่ช่วยปลุกให้เราตื่นขึ้นมาดูและเตรียมพร้อมลุยต่อเมื่อถึงสถานีปลายทาง
ถึงแล้วสถานีรถไฟฟุสเซน (Fussen) ที่สถานีมีล็อกเกอร์สำหรับใส่สัมภาระบริการอยู่ด้วยพอดี โชคดีมาก! เพราะพวกเราแบกกระเป๋าเป้อันหนักอึ้งมาด้วย ขากลับเราค่อยมาแวะเอาของเพราะต้องกลับมานั่งรถไฟที่นี่อยู่แล้ว
เรามัวแต่วุ่นอยู่กับการหาแลกเหรียญยูโรมาหยอดล็อกเกอร์เพื่อเก็บสัมภาระ ทำให้พลาดรอบรถบัสที่จะขับพาเราไปส่งถึงที่รับตั๋วเข้าชมปราสาทแบบไม่กี่นาที ฮือออ ทั้งๆ ที่ป้ายรอรถบัสอยู่ติดกับสถานีรถไฟเลยแท้ๆ ใกล้กับป้ายรอรถบัส เราเห็นป้ายแท็กซี่ราคา 12 ยูโร (420 บาท) สายงกอย่างพวกเราเลยตัดสินใจว่าจะเดินกันไปแทน เพราะถ้ามัวแต่รอรถบัสรอบต่อไปก็คงไม่ทัน
ปราสาทโฮเฮ็นชวานเกา (Hohenschwangau castle)
พวกเราเดินกันไกลพอสมควร ใช้เวลาไปชั่วโมงกว่าได้ กว่าจะถึงที่จุดรับตั๋วก็หอบกันเลยทีเดียว มาลองเสิร์ชดูอีกที พวกเราเดินกันไป 5 กิโลกว่า! ตอนนั้นคือเหนื่อยมากเพราะก้าวรัวๆ ไม่ได้หยุดพักเลย กลัวไปรับตั๋วไม่ทันเวลา โดยที่มีวิวข้างๆ คอยให้กำลังใจตลอดทาง ระหว่างทางก็จะได้เดินผ่านทะเลสาบสีมรกต พร้อมทั้งเห็นวิวของทั้งปราสาทโฮเฮ็นชวานเกา (Hohenschwangau castle) และปราสาทนอยชวานสไตน์ (Neuschwanstein castle) บนภูเขาด้วย อาคารแถวๆ นั้นก็มีหลายหลังที่ถูกแปลงร่างไปเป็นโรงแรม เราสังเกตว่าอาคารเหล่านี้ต่างก็พากันตกแต่งด้วยรูปหงส์ขาวทั้งนั้น..
จุดรับตั๋วเข้าชมปราสาทนอยชวานสไตน์ คือ Ticket-Center Hohenschwangau
ซุ้มขายอาหารที่อยู่ไม่ไกลจากจุดรับตั๋ว
เวลารับตั๋วของเราคือก่อนเวลา 14.05 น. พวกเรามาช้าประมาณ 10 นาที แต่ก็ยังสามารถมารับตั๋วได้ทัน โล่งอกไปที! เราจองตั๋วออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของปราสาทนอยชวานสไตน์โดยตรง www.neuschwanstein.de ค่าตั๋วเข้าชมปราสาทนอยชวานสไตน์ ราคา 15.5 ยูโร (540 บาท) ต่อคน ซึ่งไม่ต้องจ่ายเงินล่วงหน้า แต่มาจ่ายหลังจากที่ได้รับตั๋วจากจุดรับตั๋วเข้าชมปราสาทนอยชวานสไตน์เรียบร้อยแล้วแทน พอจองตั๋วผ่านเว็บไซต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็จะได้รับอีเมลยืนยันการจองกลับมา เราก็เอาอีเมลนี้ยื่นให้พนักงานดูตอนรับตั๋ว เราจองเวลาสำหรับเข้าชมภายในปราสาทไว้ที่ 15.35 น. เลยยังเหลือเวลาอีกประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนที่จะต้องเดินจากจุดรับตั๋วไปที่ตัวปราสาทนอยชวานสไตน์กันอีกรอบ เลยพักหายใจกันซักนิด กินเคอร์รี่เวิร์ส (currywurst) ที่ซุ้มอาหารที่อยู่ไม่ไกลกันรองท้อง แล้วค่อยลุยกันต่อ!
แผนที่จุดรับตั๋วเข้าชมปราสาทนอยชวานสไตน์ (Neuschwanstein castle): Ticket-Center Hohenschwangau Google Map
รอบๆ ปราสาทเต็มไปด้วยต้นไม้เต็มไปหมด เหมือนเป็นป่าผืนใหญ่ผืนหนึ่งเลยก็ว่าได้ เดินผ่านป่าขึ้นไปหาปราสาทก็น่าจะสนุกกว่าขึ้นรถบัสเฉยๆ เป็นไหนๆ พวกเราเลยเลือกที่จะเดินไปตามเส้นทางเล็กๆ ในป่ากันแทน บางคนมีงบหน่อยก็เลือกที่จะนั่งรถม้าขึ้นไป พวกเราค่อยๆ เดินผ่านป่ากันมาเรื่อยๆ พอใกล้ถึงก็จะเริ่มเห็นถนน ด้านขวาคือทางเดินไปจุดชมวิว ด้านซ้ายเป็นทางเดินไปยังตัวปราสาท พวกเราเลยแวะกันที่จุดชมวิวบนสะพานกันก่อน
สะพานที่เป็นจุดชมวิวปราสาท
คนบนสะพานเยอะมาก! แล้วพื้นสะพานเป็นแผ่นไม้ ขยับได้ด้วย เวลาเดินบนนั้นสวนกับคนอื่นนี่คือเสียววาบ เดือนที่เราไปคือกันยายนซึ่งเป็นหน้าร้อนที่เป็นช่วง high season ถ้าหน้าหนาวคนน่าจะน้อยกว่านี้ จริงๆ เราอยากมาหน้าหนาวมากกว่าเพราะเคยเห็นรูปปราสาทและต้นไม้รอบๆ ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะคือสวยมาก สะพานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1840 เป็นของขวัญวันเกิดให้กับพระเจ้าลุดวิกที่ 2 (Ludwig II) ผู้มีคำสั่งให้สร้างปราสาทแห่งนี้ขึ้นมานั่นเอง ซึ่งจุดชมวิวนี้เป็นจุดที่มองเห็นปราสาทได้ในมุมที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบที่สุด ปราสาทนอยชวานสไตน์ (Neuschwanstein castle) เดือนกันยายนช่วงหน้าร้อนของที่นี่ก็สวยไปอีกแบบนึงนะ
การถ่ายรูปสู้กับแดดช่วงบ่ายและไม่ให้ติดมือนักท่องเที่ยวคนอื่นนั้นไม่ง่ายเลย ฮ่าๆ
ดูวิวของปราสาทกันจนสมใจ ก็ได้เวลาเดินไปที่ตัวปราสาทกันบ้าง ซึ่งอยู่อีกไม่ไกลแล้ว ระหว่างทางก็ยังมีวิวสวยๆ ของทะเลสาบให้เห็นกันด้วย
ทางเข้าปราสาท
พอเข้ามาแล้ว พวกเราก็ตรงดิ่งเข้าไปในปราสาทเพื่อชมด้านในกันเลยเพราะถึงรอบเวลาของเราพอดี โดยจะมีไกด์ภาษาอังกฤษยืนรออยู่ตรงทางเข้า แจกหูฟังให้เราคนละเครื่อง แล้วค่อยๆ พาชมแต่ละห้องภายในปราสาทไปพร้อมๆ กัน แต่มีข้อแม้ว่าห้ามถ่ายรูปข้างในเด็ดขาด! โท่ กล้องที่เตรียมไว้สำหรับถ่ายรูปเต็มที่ก็ต้องถูกเก็บใส่กระเป๋าไปแทน แต่ส่วนท้ายๆ ของปราสาทก็จะมีห้องนึงที่โชว์ภาพร่างออกแบบของบางห้องในปราสาทแห่งนี้เอาไว้ด้วย ทำให้เราได้ภาพจำลองความยิ่งใหญ่ภายในปราสาทที่เสมือนจริงมากๆ เก็บมาฝากผู้อ่านได้
วิวจากหน้าต่างของปราสาท
ปราสาทนอยชวานสไตน์ ประวัติ
ปราสาทนอยชวานสไตน์ (Neuschwanstein castle) คือปราสาทของพระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งแคว้นบาวาเรีย เขามีคำสั่งให้สร้างปราสาทแห่งใหม่นี้ขึ้นมา โดยเลือกตำแหน่งที่ตั้งที่สวยที่สุด เพื่อให้สวยงามกว่าปราสาทโฮเฮ็นชวานเกา (Hohenschwangau castle) ที่เป็นปราสาทเดิม ปราสาทนอยชวานสไตน์ (Neuschwanstein castle) ถูกสร้างขึ้นมาในปี 1868 และสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 1892 ซึ่งยาวนานกว่า 24 ปี ทั้งๆ ที่พระเจ้าลุดวิกที่ 2 หวังว่าปราสาทแห่งนี้จะเสร็จภายใน 3 ปีเท่านั้น ด้วยเหตุผลหนึ่งก็คือตำแหน่งที่ตั้งของปราสาทที่อยู่บนยอดภูเขา ทำให้การก่อสร้างเป็นไปอย่างยากลำบาก
ภาพวาดของห้องภายในปราสาท
ภาพวาดตกแต่งภายในปราสาทเกี่ยวข้องกับความรัก ความรู้สึกผิด การสำนึกบาป และการไถ่บาป นอกจากนี้ยังมีรูปวาดของกษัตริย์ อัศวิน กวี และคู่รัก จากบทกวีของเยอรมัน Tannhäuser และ Parzival อีกสิ่งที่จะเห็นได้บ่อยๆ ในปราสาทจนเปรียบเหมือนดั่งสัญลักษณ์ของปราสาทนอยชวานสไตน์ไปแล้วนั่นก็คือหงส์ขาว สัตว์ที่เป็นตราประจำของเคานต์หรือขุนนางของเมืองชวังเกาในสมัยก่อน นอกจากนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ในศาสนาคริสต์อีกด้วย
ประวัติโดยย่อของพระเจ้าลุดวิกที่ 2
พระเจ้าลุดวิกที่ 2 ขึ้นเป็นกษัตริย์ในวัยเพียง 18 ปีเท่านั้น โดยได้กล่าวในวันที่ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ว่าจะเรียนรู้ต่อไป มีนิสัยรักสันโดษ และเลือกที่จะสร้างปราสาทแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อใช้อยู่เพียงลำพัง จนในปี 1866 เขาพ่ายแพ้ในสงครามเยอรมันในช่วงที่ปรัสเซียขยายอาณาเขตจากออสเตรียมายังบาวาเรีย ทำให้พระเจ้าลุดวิกที่ 2 ไม่มีอำนาจในการปกครองอีกต่อไป ภายหลังก็เริ่มมีปัญหาด้านการเงิน จนในปี 1885 เขาถูกธนาคารยึดทรัพย์และถูกปลดออกจากตำแหน่งในปีต่อมาเนื่องจากถูกครหาว่าเป็นคนเสียสติ ต่อมาเขาถูกพบว่าเสียชีวิตใกล้กับทะเลสาบชตาร์นแบร์ก (Starnberg) ในวัย 41 ปี พร้อมกับจิตแพทย์ที่ยืนยันว่าเขาเป็นคนเสียสติ ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่ปราสาทจะถูกสร้างเสร็จด้วยซ้ำ เขาเคยมีโอกาสได้ย้ายเข้ามาอยู่ในปราสาทนอยชวานสไตน์ (Neuschwanstein castle) จริงๆ เมื่อปี 1884 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากที่เขาได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ตามที่ตั้งใจไว้
ระหว่างที่เราเข้าชมห้องต่างๆ ภายในปราสาท ในห้องนอนบริเวณอ่างล้างหน้าก็ถูกทำขึ้นมาเป็นรูปหงส์เช่นกัน มีรูปหงส์แอบซ่อนอยู่ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพต่างๆ ที่ถูกใช้ตกแต่งภายในปราสาท หรือแม้แต่ตัวพิมพ์สำหรับทำขนมปังในห้องครัวซึ่งเป็นส่วนของปราสาทที่เปิดโอกาสให้เราถ่ายรูปได้ แต่มีห้องนึงที่น่าสนใจมากที่แอบซ่อนอยู่ถัดไปจากห้องนอน ห้องนี้เป็นพื้นที่เล็กๆ ที่ถูกสร้างให้มีลักษณะเหมือนกับถ้ำในธรรมชาติ! มีหินจำลองและถูกตกแต่งด้วยแสงสี ไกด์เรียกห้องนี้ว่าเป็นเหมือนกับ “โลกแฟนตาซีของพระเจ้าลุดวิกที่ 2″ ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจาก Tannhauser ที่ถูกล่อโดยวีนัสให้เข้าไปยังถ้ำของเธอ
ส่วนสุดท้ายของปราสาทก่อนที่จะเป็นร้านขายของที่ระลึกคือส่วนของห้องครัวและข้าวของเครื่องใช้ มีแม้กระทั่งแบบพิมพ์ขนมรูปมงกุฎของกษัตริย์ แปลกดี ถัดมาอีกหน่อย เป็นร้านอาหารที่ตั้งติดอยู่กับอีกหนึ่งจุดชมวิวของปราสาท พอมองออกไปจะเห็นวิวทะเลสาบที่สวยมาก!
วิวของทะเลสาบ Alpsee จากบนปราสาท
เข้าชมภายในปราสาทเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลากลับ พากันเดินลงโดยผ่านป่าอีกเส้นทางแทน แม้ว่าที่นี่จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว เนื่องจากเป็นที่เที่ยวเยอรมันสุดฮิต แต่สิ่งที่เราชอบมากของที่นี่นอกจากปราสาทสวยๆ ก็คือธรรมชาติโดยรอบ ทั้งทะเลสาบและต้นไม้ที่มีอยู่เยอะมากจริงๆ ทำให้เป็นอีกวันที่เราไม่ได้แค่มาดูสถาปัตยกรรมสวยๆ อย่างเดียว แต่เราได้พาตัวเองมาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติด้วย พอมาถึงข้างล่างแล้ว เราก็ไปยืนรอรถบัสที่ป้ายเพื่อนั่งกลับไปยังสถานีรถไฟฟุสเซนกันอีกครั้ง
คนขี่จักรยานภูเขาเยอะมาก ยอมใจ แค่เดินเราก็เหนื่อยแล้ว
กระรอก!
นั่งรถไฟกลับมาที่มิวนิคกันอีกครั้ง ช่วงที่เรากำลังรอรอบรถไฟไปเมืองการ์มิช-พาร์เทินเคียร์เชิน (Garmisch-Partenkirchen) ก็แวะหาอะไรกินแถวสถานีกันที่ร้าน Pommes Freunde แฮมเบอร์เกอร์เค้าอร่อยมาก! ราคาก็ไม่แพงเลย
ปราสาทของเจ้าชายขี้อาย เพ้อฝัน และรักสันโดษ วันนี้กลับกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยี่ยมชมถึง 1.4 ล้านคนต่อปี หรือบางครั้งก็มากถึง 6,000 คนในหนึ่งวัน เพราะความสวยดุจเทพนิยายของปราสาทแห่งนี้ที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้เข้ามายลโฉมใกล้ๆ ที่นี่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากปราสาทในนิยายช่วงยุคกลางของยุโรป และกลายมาเป็นแรงบันดาลใจของปราสาทในการ์ตูนดิสนีย์เรื่องเจ้าหญิงนิทรา จนเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายต่อมา ความสวยงามของที่นี่ต้องแลกมาด้วยการใช้เงินในการก่อสร้างอย่างมหาศาล จนเจ้าของถูกยึดทรัพย์และเสียชีวิตต่อมาอย่างเป็นปริศนา เรื่องราวเบื้องหลังของที่นี่นั้น ไม่ได้สวยงามเหมือนกับในนิยายเลย อย่างไรก็ตาม ที่นี่ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเยอรมันที่น่าสนใจมาก ไม่เสียแรงที่เดินบุกป่าขึ้นไปหาจนขาลาก พยายามอัดเข้าไปจนได้ในแพลนเที่ยวยุโรปด้วยตัวเอง 2 เดือนสุดแน่นของเรา คิวต่อไปคือเมืองอินส์บรูค (Innsbruck) ประเทศออสเตรียกันบ้าง เมืองที่มีอาคารเก่าสวยๆ พร้อมกับธรรมชาติรายล้อมที่สวยไม่แพ้กัน..
เรื่อง: ตรีสุคนธ์ จีระมะกร
ฟรีแลนซ์นักแปลอังกฤษ <=> ไทยและนักเขียนคอนเทนต์
อ่านรีวิวเที่ยวเยอรมัน (Germany) ด้วยตัวเองอื่นๆ ได้ที่นี่:
เที่ยวอินส์บรุค (Innsbruck) ออสเตรีย เมืองเล็กๆ ในอ้อมกอดของเทือกเขาแอลป์ - Take Me Away
Posted at 20:32h, 31 May[…] (Garmisch-Partenkirchen) เลย สะดวกมากๆ พวกเราไปเที่ยวปราสาทนอยชวานสไตน์ (Neuschwanstein castle) ที่ใกล้กับเมืองฟุสเซน (Fussen) […]
[รีวิว] อ่านสอบ A1 เยอรมันด้วยตัวเองยังไงให้ผ่าน 91/100 - Take Me Away
Posted at 20:41h, 10 June[…] ปราสาทนอยชวานสไตน์ (Neuschwanstein castle) สวยดุจเ… […]