นั่งรถไฟในอินเดีย ตอนที่ 5 : โกลกาตา ลาก่อน

นั่งรถไฟในอินเดีย ตอนที่ 5 : โกลกาตา ลาก่อน

เรานั่งรถไฟจากกายาไปโกลกาตา บนรถไฟได้ยินเสียงเด็กๆกลุ่มนึงนั่งร้องเพลงกันอยู่ทางด้านหลัง เรามีคุกกี้อยู่เลยถามเด็กๆว่ากินไหม เด็กๆส่ายหน้า (ไม่กินขนมของคนแปลกหน้า ฮ่าๆ) แต่ซักพัก.. พวกเค้าก็หันมาชวนคุยว่ามาจากไหน ประเทศอะไร นับถือศาสนาอะไร ขอเข้ามานั่งกับเรา ให้เราสอนภาษาไทยให้ จดใส่สมุด ให้วาดรูปให้ เราเลยวาดรูปเกี่ยวกับกรุงเทพให้เค้าดูว่าเป็นยังไง มีตึกและห้างสรรพสินค้ามากมาย รถติด มีรถไฟฟ้าใต้ดิน บนดิน วาดต้มยำกุ้งให้ดู ว่านี่คืออาหารบ้านเรานะและอร่อยมาก พวกเขาเป็นเด็กๆที่เรียนยูโดและเพิ่งกลับมาจากการแข่งขันกัน แถมชนะซะด้วย ถึงแม้จะบอกว่าทีมของเมืองหลวงจากนิวเดลีขี้โกงมากๆ เราคุยเล่นกันซักพัก.. ง่วงเลยต้องขอตัวไปงีบหลับ ตื่นมาพวกเค้าก็ชวนคุยเล่นอีก พวกเค้าไม่อายที่จะพูดภาษาอังกฤษเลย แถมมีนิสัยอยากเรียนรู้ ถามนู่นถามนี่อยากรู้เรื่องต่างๆ

ถึงแล้วโกลกาตา ได้เวลาต้องโบกมือลาอีกครั้ง..

ที่นี่มีสุสานของแม่ชีเทเรซาตั้งอยู่ เราเคยแต่ได้ยินชื่อของท่านแต่โชคดีวันนี้ได้มีโอกาสมาเยี่ยมที่สุสานที่ตั้งอยู่ใน Missionaries of charity mother house มีพิพิธภัณฑ์เล็กๆเล่าเรื่องราวอยู่ด้านใน เราไม่ได้ศึกษาข้อมูลมาดีๆ วันพฤหัสที่เราไปดันเป็นวันที่เค้าปิดพอดี แต่แม่ชีที่นั่นก็ใจดีเปิดให้เราได้เข้าไปดู..

ท่านเป็นนักพรตหญิงในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ช่วยเหลือและต่อสู้เพื่อคนยากไร้ ท่านมีเชื่อสายอัลเบเนียโดยกำเนิดแต่เดินทางมาที่อินเดียและใช้ชีวิตบั้นปลายที่นี่เพราะเมื่อตอนที่ยังอายุน้อยได้ยินว่ามีคนยากไร้อยู่เยอะและอยากจะช่วยเหลือ จึงได้บวชเป็นแม่ชีและไม่ได้เห็นหน้าแม่และน้องสาวอีกเลยนับจากนั้น ท่านยังเป็นครูสอนวิชาภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์และเป็นครูใหญ่ในภายหลังในโรงเรียนทางตอนเหนือของอินเดีย พานักเรียนและครูผ่านเหตุการณ์เลวร้ายจากความรุนแรงและสงครามในอินเดียไปได้ด้วยดี ภายหลังได้ขออนุญาตจากพระสันตะปาปาเพื่อเดินทางมาช่วยเหลือผู้คนในสลัม

ก่อนหน้านั้นจึงได้ไปเรียนเกี่ยวกับวิชาพยาบาล เปิดโรงเรียนกลางแจ้งในสลัม มีศิษย์เก่าตามมาขอบวชเป็นแม่ชีหลายคน จึงเกิดเป็นคณะ Missionaries of charity ขึ้น ภายหลังได้สร้างสิ่งต่างๆมากมายทั้ง Home for dying สำหรับผู้ที่ไม่มีบ้านได้มาพักพิงที่นี่ก่อนความตาย เปิดบ้านรับเลี้ยงเด็กกำพร้า และสถานที่สำหรับดูแลคนที่เป็นโรคเรื้อนโดยเฉพาะชาวไร่ชาวนา ท่านได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 1979 แต่ปฏิเสธที่จะไปร่วมงานและให้นำเค้กที่ทำเตรียมไว้แล้วไปบริจาคแก่เด็กยากจนแทน ในพิพิธภัณฑ์มีของใช้ของท่านจัดแสดงอยู่ รองเท้าที่ทำเอง ล้วนแต่เป็นของที่เรียบง่าย ไม่หวือหวา ห้องนอนของท่านก็เป็นเพียงแต่ห้องเล็กๆเท่านั้น

ร้านอาหารที่เราไปกินทุกวันตอนที่อยู่ในโกลกาตา จะเจอชาวต่างชาติหน้าเดิมๆมากินเหมือนกันทุกวัน ตึกยังสร้างไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำ

รถแท็กซี่ในเมืองโกลกาตา คลาสสิกดีเนอะ

เราอยู่ในอินเดียเกือบ 2 อาทิตย์ คนที่นี่เค้ากินอาหารมังสวิรัติซะเป็นส่วนใหญ่ แต่เราห่วงอยากกินเนื้อสัตว์และชอบกินเผ็ด มีอยู่วันนึงที่กายา เราสั่งแกงใส่ปลามากินบอกว่าขอเผ็ดๆเลยนะ อร่อยดี พอกินเสร็จเท่านั้นแหละรู้เรื่อง วิ่งเข้าห้องน้ำแทบไม่ทัน จากนั้นมาพอเริ่มดีขึ้นก็ไม่เข็ด สั่งไก่ย่างทันดูรี อาหารขึ้นชื่อของอินเดีย ก็กลับมาท้องเสียอย่างเต็มรูปแบบ นอนซมไปหลายวัน คิดว่าตัวเองดีขึ้นแล้ว แต่ตอนที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์กลับรู้สึกเหมือนกับจะเป็นลม ต้องรีบนั่งแท็กซี่กลับที่พัก ยาถ่าน 2 แพ็คและเกลือแร่ที่ซื้อก่อนไป 4 ซอง คิดว่าไม่ได้ใช้กลับหมดเกลี้ยง

รถรางถูกใช้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครั้งแรกที่อินเดีย  แต่ในปัจจุบันโกลกาตาเป็นเพียงเมืองเดียวที่ยังมีรถรางให้ใช้บริการอยู่ ค่าโดยสารแค่คนละ 4 รูปี

13 วันในอินเดียผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้ในอาทิตย์ที่ 2 จะนอนซมและอยากกลับไทยแล้ว แต่ก็มีเรื่องราวมากมายทั้งร้ายและดีเกิดขึ้น ที่นี่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก ไม่เหมือนที่ไหนในโลก.. ประเทศโลกที่ 1 คือประเทศใหญ่ๆในทวีปยุโรป ประเทศโลกที่ 2 คือ ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ที่พัฒนาแล้ว ส่วนเรา ไทย เป็นประเทศโลกที่ 3 ประเทศกำลังพัฒนา แต่ที่อินเดียเค้ายกให้เป็นประเทศโลกที่ 4.. เมื่อมาก็ได้เห็นชีวิตที่เรียบง่ายของคนที่นี่ คนยากจนมีอยู่เยอะมาก แต่พวกเขาก็ดิ้นรนหาเงินเพื่อเลี้ยงปากท้องของตัวเอง ปั่นรถจักรยานส่งผู้คนไกลได้เงินแค่ไม่กี่รูปี ขายชาราคาแก้วละ 5 บาทแต่ก็อยู่ได้ ชาที่ขายเสิร์ฟในแก้วกระดาษหรือถ้วยดินเผา ทุกคนหิ้วถุง recycle มาจากบ้านเพื่อใช้ซื้อของ เค้าลดขยะจากพลาสติกมากกว่าเราได้เยอะมาก เด็กๆกล้าที่จะพูดภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติแบบไม่เขินอาย ร้องเพลงสนุกสนานร่วมกันแม้จะมาจากต่างศาสนาทั้งฮินดู มุสลิม และคริสต์ เจอคนใจดีแบ่งอาหารให้เรากินแม้เราจะเป็นแค่คนแปลกหน้า อาหารแค่มีโรตีกับแกงมังสวิรัติง่ายๆก็อยู่ได้โดยไม่ต้องเบียดเบียนสัตว์ มีชุดส่าหรีที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ใส่กันในชีวิตประจำวันโดยไม่ต้องไปแต่งตัวเลียนแบบใคร พวกเค้าไม่ได้ต้องการอะไรมากมายในชีวิตก็มีความสุขกันดี

รถลากโดยคน นั่งไปเกร็งไป แต่อยากลอง เพราะมีที่เดียวที่เมืองนี้เท่านั้นในอินเดีย

คำตอบว่ารักหรือเกลียดอินเดียให้ตอบตอนนี้มันคงจะง่ายเกินไป หากมีโอกาสได้กลับมาอีกครั้ง.. อยากจะไปเมืองทางเหนือที่มีไร่ชาหรือหิมะ หรือทางใต้ที่มีเกาะสวรรค์อย่าง Goa ดูบ้าง แต่ตอนนี้ก็ได้คำตอบอย่างนึงแน่นอนเป็นของตัวเองว่า ไม่เสียใจที่ได้มาเพราะได้เรียนรู้อะไรมากมายกลับไปที่ต้องเป็นอินเดียเท่านั้นที่จะให้เราได้ ไว้มีโอกาสเราเจอกันอีกนะ.. อินเดีย คราวหน้าจะพกเกลือแร่มากกว่า 4 ซองไปสู้ ฮ่าๆ

อ่านก่อนหน้าได้ที่นี่ : ตอนที่ 4 พักใจที่กายา

อ่านเกี่ยวกับศรีลังกาได้ที่นี่ : ตอนที่ 1 : ก่อนออกเดินทาง

 

1 Comment