03 Oct 9 วันในศรีลังกา ตอนที่ 3: บ้านต้นไม้ที่สิกิริยา
วันนี้ต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 เช้าตรู่ รีบเตรียมตัวเพื่อขึ้นรถไฟไปสิกิริยา ถามเจ้าของบ้านไว้ตั้งแต่เมื่อวานว่าช่วงเช้าๆ จะมีรถตุ๊กๆ ไหมแถวนี้? เขาก็บอกว่ามีวิ่งตลอดเลย ไม่ต้องห่วง วันนี้เดินออกมาแป๊ปเดียวก็เจอ แต่พอนั่งรถไปได้สักพัก ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมโทรศัพท์ เพราะค้นดูในกระเป๋าแล้วไม่เจอ เลยต้องย้อนกลับไปเอาอีก โทรบอกเจ้าของบ้าน แล้วบอกให้ตุ๊กๆ รีบบึ่งกลับไปเอา ทุกอย่างวุ่นวาย
หลังจากที่ได้โทรศัพท์คืนมา ก็ต้องบอกให้ตุ๊กๆ ซิ่งไปเลย! เพราะกลัวว่าจะไม่ทัน แต่สุดท้ายก็ไปถึงทันเวลา เกือบไปละเรา ไอโฟนยังผ่อนไม่ครบเลยตอนนั้น ฮ่าๆ ซื้อตั๋วรถไฟเสร็จปุ๊ปก็แวะซื้อขนมปังจากร้านขายของชำแถวๆ สถานีไว้กินบนรถไฟด้วย เป็นขนมปังก้อนธรรมดาๆ ไส้ไข่ ผัก หรือไส้กรอก พอประทังความหิวตอนอยู่บนรถไฟได้
นั่งรถไฟจากโคลัมโบไปสิกิริยา
นั่งรถไฟไปสิกิริยา
รถไฟจากโคลัมโบ (Colombo) ไปฮาบารานะ (Habarana) มี 2 รอบต่อวัน คือ รอบเช้า 6.05 – 11.06 น. และรอบค่ำ 21.30 – 3.00 น. รอบเช้าดูเข้าท่ากว่า ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง พอใกล้ถึงตัวเมืองสิกิริยา (Sigiriya) ก็จะเริ่มเห็นวิวเป็นหินผาขนาดใหญ่ ต้นไม้มากมาย ฝูงวัวออกมากินหญ้า และพอไกลขึ้นอีกหน่อย ก็จะเริ่มเข้าพื้นที่ป่าและมีป้ายระวังช้าง ⚠️🐘 ข้างทางรถไฟให้เห็นด้วย
ชาวศรีลังกาพกกระติกน้ำร้อนมาทั้งอัน ขึ้นมาขายกาแฟให้ผู้โดยสารขณะที่รถไฟกำลังจอดพัก
รถไฟมาถึงช้ากว่ากำหนดนิดหน่อย เดินออกมาก็จะเห็นว่ามีรถตุ๊กๆ จอดรออยู่ที่ทางออกประมาณ 2-3 คัน ฉันเห็นชาวต่างชาติคนหนึ่งกำลังถามชาวบ้านว่าจะรอรถบัสได้ที่ไหน? ชาวบ้านบอกว่า 1 ชั่วโมงถึงจะผ่านมาที เราเลยชวนเขาให้มานั่งตุ๊กๆ ด้วยกัน แต่เขาเป็น budget traveler ตัวจริง เขาปฏิเสธและบอกว่า “รถเมล์ราคาแค่ไม่กี่รูปี ทำไมต้องนั่งตุ๊กๆ ที่ราคาหลายรูปีด้วย”
บ้านต้นไม้ในสิกิริยา
ฉันเคยเห็นเพื่อนชาวต่างชาติโพสภาพบ้านต้นไม้แห่งหนึ่งในเมืองสิกิริยา ก็เลยถามเขาว่าพอจะจำชื่อที่พักได้ไหม เพราะอยากพักที่บ้านต้นไม้แบบเขาบ้าง ที่นี่ชื่อว่า Sigiri Queens Rest Guest House เป็นที่พักที่ตั้งอยู่ใกล้กับ Lion rock สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในเมืองสิกิริยา
ตุ๊กๆ บอกราคาแพงมาก เกือบ 200 บาท เราเลยขอต่อ ต่อไปต่อมา ทำท่าเดินหนี จนเขายอมไปส่งในเรทครึ่งราคา ที่พักต้องผ่านป่า มีถนนเส้นเล็กๆ ตัดผ่าน มีอุนจิช้างให้เห็นตลอดสองข้างทาง คนขับเห็นพวกเราตื่นเต้นกัน เขาเลยบอกว่าช้างชอบออกมาหากินแถวนี้ตอนกลางคืน นั่งไปเรื่อยๆ ฉันก็เริ่มสังเกตเห็นลิงและนกยูงด้วย ธรรมชาติที่นี่น่าจะอุดมสมบูรณ์มากๆ แค่พวกเรานั่งรถตุ๊กๆ แป๊ปเดียว ก็ได้เห็นสัตว์ป่าง่ายๆ แบบนี้แล้ว
ฉันไม่ได้เห็นนกยูงมานานมาก จำได้ว่าเคยเห็นที่สวนสัตว์แล้วก็ในวัดตอนเด็กๆ ยังไม่เคยเห็นนกยูงที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติแบบนี้มาก่อน และนกยูงก็น่าจะเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของประเทศศรีลังกา เพราะเห็นมีของฝากรูปนกยูง และแอร์ของ Srilanka Airline เองก็ใส่ชุดส่าหรีที่มีสีสันและลวดลายของนกยูงด้วย
บ้านต้นไม้ในเมืองสิกิริยา มีทุกอย่างครบในตัว ยกเว้นก็แต่ห้องครัวนี่ละ
ถึงที่พักปุ๊ป เจ้าของก็ออกมาต้อนรับด้วย welcome drink เป็นน้ำปั่นผลไม้รวม น่ารักจัง แม้รสชาติจะปะแล่มไปหน่อย น่าจะเป็นมะละกอ แตงโม กับสับปะรด เพราะนั่นเป็นผลไม้ไม่กี่อย่างที่ฉันเห็นมีขายตามร้านค้าที่นี่ บ้านต้นไม้หลังเล็กราคาแค่ 500 บาทต่อคืน แถมรวมอาหารเช้าแล้วด้วย คุ้มมาก!
เจ้าของที่พักถามว่าเราวางแผนไว้ยังไงบ้าง? เราเลยบอกว่าอยากไปดูช้างที่อุทยานแห่งชาติมินเนอริยา (Minneriya National Park) เขาบอกว่าสามารถติดต่อบริการรถจิ๊บให้ได้ ราคาตกอยู่ที่ 6,750 รูปี (หาร 5) = 1,300 บาทต่อคน รวมตั๋วค่าเข้าอุทยานแล้วด้วย ซึ่งถูกกว่าที่เคยเห็นจากหลายเจ้าในอินเตอร์เน็ตตอนค้นหาข้อมูล แล้วรถจิ๊บก็จะมารับเราถึงที่นี่ด้วย เลยตอบตกลงไป เจ้าของยังเสนออีกว่า ถ้าหากอยากกินอาหารเย็นที่นี่ เขาก็มีให้บริการในราคาชุดละ 100 บาท ที่พักอยู่กลางป่าขนาดนี้ กลับมาจากไปอุทยานน่าจะเหนื่อยกัน กินอาหารเย็นที่นี่น่าจะเป็นความคิดที่ดี ราคาไม่แพงด้วย เราเลยตอบตกลงไปอีกครั้ง..
จองที่พักบ้านต้นไม้ในเมืองสิกิริยาได้ที่นี่: Sigiri Queen Rest Guest House – Agoda
ส่องสัตว์ใช้ชีวิตตามธรรมชาติที่อุทยานแห่งชาติมินเนอริยา (Minneriya National Park)
ที่ฉันชอบอย่างหนึ่งก็คือ ถนนในอุทยานแห่งชาติมินเนอริยา (Minneriya National Park) เป็นแค่ทางเส้นเล็กๆ ไม่ได้ปูคอนกรีต ไม่ทำลายธรรมชาติ เป็นแค่พื้นดินธรรมดาเท่านั้น ถ้าจะเข้ามาที่นี่เลยต้องใช้รถจิ๊บนี่แหละถึงจะดีที่สุด
เพราะถนนก็ไม่ได้เป็นทางเรียบไปตลอด พวกเรานั่งด้านหลัง เปิดประทุน ได้สูดอากาศบริสุทธ์ และสัมผัสบรรยากาศของซาฟารีส่องสัตว์เป็นครั้งแรก เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นดี ต้องคอยสังเกตรอบๆ ตัว เพราะเราไม่รู้เลยว่าจะได้เจอกับสัตว์อะไรบ้าง
ตอนที่ฉันค้นหาข้อมูลออนไลน์เกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติมินเนอริยา (Minneriya National Park) เห็นรูปช้างอยู่รวมกันเยอะมาก เลยคาดหวังไว้ว่าจะได้เห็นแบบนั้นบ้าง รถจิ๊บค่อยๆ พาเราขับเข้าไปในป่า เจอลิงและเจอนกยูงบ่อยมาก จนเราไม่ตื่นเต้นกับมันอีกต่อไปแล้ว มนุษย์เอ๋ยมนุษย์
นกยูงในอุทยานแห่งชาติมินเนอริยา (Minneriya National Park)
พอขับลึกไปอีกเรื่อยๆ ก็มาถึงบึงขนาดใหญ่กลางอุทยานที่เป็นแหล่งอาหารของสัตว์น้อยใหญ่ ในภาพที่เคยเห็น ช้างมักจะออกมากินน้ำแถวนี้กัน แต่วันนี้กลับไร้วี่แวว เห็นแค่นกหลากหลายชนิดที่บินผ่านไปผ่านมาเท่านั้น..
คนขับรถบอกว่าเมื่อวานเห็นช้างตั้ง 50 ตัวได้ แต่วันนี้ดูท่าไม่น่าจะเห็นสักตัว พร้อมส่ายหน้า พวกเราเลยเริ่มคอตก กลัวผิดหวัง แต่ก็คิดกันไว้ว่า ขอเห็นแค่สักตัวก็ยังดีนะ! ไม่ทันไร พอรถขับผ่านบึงขนาดใหญ่ไปสักพัก ก็เห็นว่ามีรถจิ๊บของคนอื่นอีก 2 คันจอดอยู่ด้านหน้า พวกเขาคงหยุดดูอะไรบางอย่าง..
ตอนแรกยังไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไร แต่พอเห็นว่ามีพุ่มไม้ไหวๆ ถึงเจอว่าเป็นช้างตัวหนึ่งกำลังกินใบไม้อยู่ ดีใจมาก ในที่สุดก็ได้เจอแล้ว! คนขับรถจิ๊บก็ดูดีใจไปกับเราด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นช้างอาศัยอยู่ในธรรมชาติแบบนี้ เรายิ้มให้กับภาพที่อยู่ตรงหน้า ยืนจ้องมองช้างตัวนั้นอยู่นานสองนาน
จนคนขับถามว่า OK? แฟนเลยบอกว่าโอเค ขับไปเจอตัวต่อไปกันเลย! ฉันคิดในใจว่าคงไม่เห็นแล้วมั้ง น่าจะเห็นแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นหล่ะ.. ใกล้ๆ กันมีฝูงควายป่าหลายตัวกำลังกินหญ้าอยู่ใกล้กับบึงน้ำ หลังจากที่คนขับจอดรถให้ดูใกล้ๆ สักพักก็ถามว่า OK? อีกครั้ง เราก็ตอบ OK และรถก็เดินหน้าต่อไป
แต่พอเคลื่อนรถไปอีกไม่นาน พวกเราก็มีโอกาสได้เห็นช้างอีกครั้ง! คราวนี้เขากำลังกินหญ้าอยู่ไกลๆ บนพื้นที่โล่งใกล้กับบึงใหญ่ พวกเราโชคดีมากที่ได้เห็นอย่างที่ตั้งใจไว้ถึงสองครั้ง ฉันจ้องมองเขาอยู่นานโดยไม่ละสายตา เห็นถึงอิสระที่เขามีแล้ว ก็อดสงสารสัตว์ตัวอื่นๆ ที่ไม่ได้มีโอกาสใช้ชีวิตอิสระในพื้นที่ตามธรรมชาติแบบนี้
ช้างที่คนเลี้ยงไว้ให้นักท่องเที่ยวนั่งชมวิวก็ยังมีให้เห็นที่นี่ ฉันเห็นอยู่ครั้งหนึ่งที่ช้างถูกโซ่ล่ามไว้ที่ขาด้านหลังทั้งสองข้าง สามารถก้าวได้แค่ก้าวเล็กๆ เท่านั้น และต้องไปตามทางที่ควานช้างใช้เหล็กแหลมจิ้มบังคับ
แต่ช้างตัวนี้ที่ฉันกำลังจ้องมองอยู่ กำลังกินหญ้าในพื้นที่ธรรมชาติอย่างอิสระ อยากเดินไปไหนก็ได้ตามใจ น่าจะมีความสุขมากกว่า ฉันมองไปด้านหลัง มีช้างตัวอื่นๆ ให้เห็นอยู่อีกแบบไกลๆ ที่ค่อยๆ เขยิบใกล้เข้ามามากขึ้น ลองนับดู ทั้งหมดรวมแล้วประมาณ 8-9 ตัวได้ มีช้างตัวเล็กๆ อยู่อีก 2 ตัวด้วย 🙂
แฟนพูดติดตลกตั้งแต่ตอนที่เข้ามาในอุทยานแรกๆ ว่า อยากเห็นสัก 2 ตัว เป็นแม่ช้างตัวหนึ่ง แล้วก็อีกตัวเป็นลูกช้าง ตอนนั้นฉันขำให้กับความคิดนั้นเพราะคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ แต่ในที่สุดเราก็ได้เห็นแบบนั้น แม้จะเป็นแบบระยะไกล 🐘🐘🌳 เรายังคงพากันจับจ้อง ไม่ละสายตาไปไหน อยากจะนั่งรอจน 7-8 ตัวข้างหลังเดินมาใกล้ขึ้น เราจะได้เห็นชัดขึ้น แต่ฝนก็เริ่มตกลงมา คนในรถคันอื่นๆ ก็เริ่มหลบตัวเข้ารถ
คนขับรถถามว่าให้เอาผ้าใบปิดเพื่อกันฝนเลยไหม แต่เราก็ยังปฏิเสธ แต่พอฝนเริ่มตกหนักเข้า ก็ถึงเวลาที่ต้องปิดผ้าใบ บอกลาช้างป่าอิสระเหล่านั้น และเดินทางกลับ วันนี้เป็นวันที่พวกเราเหนื่อยกันมาก เพราะตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อมานั่งรถไฟ แล้วลุยซาฟารีต่อกันจนถึงเย็น ร่างกายล้ามากจนหลับตลอดทาง แม้รถจิ๊บจะโยกตลอดเวลาเพราะถนนที่เป็นดินโคลน
ดินเนอร์ ณ บ้านต้นไม้
กว่าจะกลับถึงที่พัก ฝนก็ตกหนักมาก จนถึงเวลากินข้าวตอน 1 ทุ่ม ฝนก็ยังไม่หยุดตก พวกเราเลยเดินลุยฝนไปกินอาหารเย็นใต้เพิงที่อยู่ไม่ไกลกันนัก มื้อเย็นของเราอลังการมาก เป็น Kotti Roti หรือผัดโรตีสับจานเบอเริ่มพร้อมน้ำแกงเครื่องเทศที่ไว้ราดทานคู่กัน ส่วนของหวานคล้ายๆ กับขนมหม้อแกงบ้านเรา แชร์กันกิน 2 คนจนอิ่มแปล้ ทั้งหมดนี้แค่ 100 บาทเท่านั้น คุ้มสะยิ่งกว่าคุ้ม
อาหารเช้าที่บ้านต้นไม้ เสิร์ฟแบบจัดเต็มมาก
อาหารเช้าของวันต่อมาก็จัดมาชุดใหญ่อีกครั้ง ทั้งแผ่นแป้งโรตี Samosa แป้งสอดไส้ถั่วทอด แยมแตงโมที่เจ้าของทำเอง พร้อมกับชา กินจนอิ่มหนำสำราญไปอีกหนึ่งมื้อ พร้อมเดินสู้เเดดไปที่ Lion rock กัน
Lion Rock แท่นศิลาราชสีห์ในศรีลังกา
แท่นศิลาราชสีห์หรือพระราชวังลอยฟ้าในศรีลังกา
พวกเราตัดสินใจที่จะเดินจากที่พักไปยัง Lion Rock เพราะไม่อยากเสียเงินค่าตุ๊กๆ แต่ระหว่างที่เดินอยู่ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุ ก็มีตุ๊กๆ คันหนึ่งแวะจอดแล้วถามว่า จะไปไหนกัน? เราบอกว่าจะไป Lion rock เขาบอกว่ากำลังจะไปแถวนั้นพอดี ให้ติดรถขึ้นมาได้ฟรีเลย ตอนแรกก็คิดกันว่า เห้ย เขาจะให้เราขึ้นฟรีจริงๆ เหรอ จะมาหลอกเก็บตังค์ทีหลังหรือเปล่า แต่ก็ลองดู ปรากฎว่าเขามาส่งฟรีอย่างที่พูดจริงๆ คนศรีลังกาใจดีไม่น้อยเลยนะเนี่ย ระหว่างทางผ่านมุมถนนแห่งหนึ่งที่มีรถบัสจอดเยอะๆ คิดว่าน่าจะเป็นที่ที่เรานั่งรถบัสต่อไปที่เมืองแคนดี้ (Kandy) ได้ในวันพรุ่งนี้
ตั๋วค่าเข้า Lion Rock แพงอยู่ คนละประมาณ 1,000 บาท ซื้อได้ที่หน้าทางเข้าเลย แต่ที่นี่เป็นมรดกโลกและฉันว่าประวัติความเป็นมาของที่นี่น่าสนใจ มีเรื่องเล่าจากอดีตว่า.. เจ้าชายองค์หนึ่งได้ฆ่าบิดาของตนเองเพื่อแย่งชิงราชสมบัติ แล้วก็มาสร้างพระราชวังราวกับสวรรค์ไว้ที่นี่ เจ้าชายมองหาหินผาใหญ่ที่เหมาะสำหรับใช้เป็นที่ซ่อนตัวและเป็นทำเลที่ทำให้มีชัยในสมรภูมิรบได้ เพื่อหลบหนีความผิดจากพี่ชายของตน แต่เสวยสุขอยู่ได้ไม่นาน ก็ต้องลงจากเขามาสู้รบกับพี่ชายที่มาแก้แค้นให้บิดา แต่ในที่สุดเจ้าชายก็พ่ายแพ้ และกลับขึ้นไปปลิดชีพตนเองบนยอดเขาแห่งนี้
ตรงทางเข้ามีไกด์มาเสนอเป็นไกด์ส่วนตัวให้ ราคาอยู่ที่ประมาณ 400 บาท เราเดินหนีก็พยายามเดินตาม เล่าเรื่องให้เราฟังเพื่อดึงดูด พอเราขอต่อราคา เขาก็ถามกลับว่าอยากให้เท่าไหร่ อีกใจก็อยากมีไกด์จะได้รู้เรื่องราวรายละเอียดของที่นั่นมากขึ้น แต่อีกใจก็อยากเดินชิวๆ ไปไหนก็ไป แวะตรงไหนก็ได้ ไม่ต้องเร่งรีบ เราเลยปฏิเสธเขาไป
ระหว่างทางที่ขึ้นมาจะเป็นบันไดขั้นเล็กๆ เป็นทางให้ขึ้นไปยังจุดที่สำคัญที่เป็นภาพวาดบนหินผาด้านบน ซึ่งถูกตัดหน้าหินออกไป เหลือเป็นพื้นที่สีขาวสำหรับวาดรูปนางอัปสร เหล่านางสนมของวังในสมัยก่อน ซึ่งเขาไม่อนุญาตให้เราถ่ายรูป ให้ดูได้แต่ตาและเก็บไว้ในความทรงจำเท่านั้น
ร่องรอยของภาพวาดที่ยังหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้างโดยรอบ
พวกเราเดินสู้กับแดดพร้อมกับน้ำขวดใหญ่แค่ 1 ขวดเท่านั้น ดื่มจนหมดเกลี้ยง บอกเลยว่าไม่พอ ใครจะไปที่นี่ให้พกน้ำไปเยอะๆ ใส่หมวกกันแดด และควรพกอะไรนิดหน่อยๆ ไว้ขึ้นไปกินด้วยเพราะกว่าจะขึ้นไปถึงยอดก็หมดพลังใช่เล่น ฉันเห็นคู่รักคู่หนึ่งหยิบกล้วยที่พกมาด้วยขึ้นมากิน เจ็บจี๊ดดด คงจะหวานอร่อยน่าดู หากเดินขึ้นไปถึงยอดแรกจะพบกับส่วนของหินที่ถูกสลักให้มีลักษณะของเท้าสิงห์เหลืออยู่ เป็นมุมฮิตที่ทุกคนจะถ่ายรูปกัน ใกล้กันจะมีน้ำก๊อกอยู่มุมหนึ่งที่ทุกคนจะเดินตรงดิ่งไปที่นั่นเพื่อล้างหน้าล้างตัวแก้ร้อน!
วิวของเมืองสิกิริยะแบบสุดลูกหูลูกตา เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี อุดมสมบูรณ์มาก
และเดินขึ้นบันไดไปอีกหน่อยก็จะถึงจุดสูงสุดซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของพระราชวัง แต่ตอนนี้เหลือให้เห็นแต่ฐานเท่านั้น ฉันอึ้งเมื่อได้เห็นวิวที่มองลงมาจากข้างบนเพราะสวยมาก มองเห็นได้แบบ 360 องศา และไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเป็นต้นไม้ทั้งนั้น ที่นี่อุดมสมบูรณ์มากๆ 🌳🌳❤️
ขาลงจะเร็วกว่ามากเพราะมีเส้นทางลัด ลงมาถึงข้างล่างปุ๊ป สิ่งที่ทำเมื่อเห็นร้านค้าคือซื้อโค้กก่อนเลย ฮ่าๆ และถ้าเดินออกไปอีกสักพักก็จะเห็นร้านอาหารตั้งอยู่เรียงราย พวกเราแวะกินมื้อกลางวันกันเพราะหิวมาก ฉันสั่งไข่เจียวไก่มากิน ณ จุดนี้คือคิดถึงข้าวและอาหารธรรมดาๆ มาก หลังจากกินอาหารศรีลังกาต้นตำรับมาหลายวัน พร้อมซื้อน้ำขวดกลับ
น้ำเป็นสิ่งจำเป็นมาก ต้องมีติดตัวไว้ตลอด ที่สังเกตุเห็นก็คือ น้ำขวดหนึ่งจะมีราคาติดอยู่ที่ฉลากประมาณ 70-80 รูปี แต่ตอนอยู่ที่โคลัมโบโดนคิดเงินแบบบวกเพิ่มตลอด พอมาที่นี่เขาคิดราคาเราตามราคาหน้าฉลาก นี่แหละน้า ความต่างกันของในเมืองกับนอกเมือง..
พวกเรานั่งรถตุ๊กๆ กลับที่พักกัน กะว่าจะใช้เวลาในช่วงบ่ายพักผ่อนและนั่งชิวอ่านหนังสือที่ระเบียงหน้าบ้านซะหน่อย หลังจากที่เที่ยวแบบหักโหมกันมาตลอด 4 วัน ฉันนั่งเล่นอยู่ตรงระเบียง ดูนกสีสันสวยงามที่บินมาเยี่ยมเยียนอยู่ไม่ขาด ฟังเสียงนกร้องเพลิน เพราะรอบๆ รายล้อมไปด้วยต้นไม้ ตอนเช้าก็เห็นนกยูง 3 ตัวแวะเข้ามาทักทายในรั้วบ้าน เจ้าของบ้านบอกว่ามีนกยูงมาหาของกินที่บ้านแบบนี้แทบทุกวัน
พวกเขามีบ้านที่น่าอยู่และใกล้ชิดกับธรรมชาติมาก ฉันอยากแนะนำให้ทุกคนได้ลองมาพักที่นี่
ตกเย็น พวกเราตัดสินใจที่จะเอาชนะความขี้เกียจ เดินจากที่พักไปที่ Pidurangara rock ผาที่อยู่ตรงข้ามกับ Lion rock ที่เราไปมาเมื่อเช้านี้ กะว่าจะไปนั่งรอดูพระอาทิตย์ตกกัน เดินไปอย่างไกล กำลังมองหาทางขึ้น แต่กลับเจอหมาตัวหนึ่งเห่าขู่มาแต่ไกล คนกลัวหมาอย่างพวกเราก็ป๊อด ตัดสินใจหันหลังกลับ โดนหมากัดกลางป่าแบบนี้ไม่คุ้ม เลยแวะเดินดูสวนข้างๆ กันที่มีเจดีย์เก่าตั้งอยู่แทน
เด็กนักเรียนชาวศรีลังกาเข้ามาชวนคุยแล้วถ่ายรูปเล่นกับพวกเราใหญ่
แต่เรื่องมันยังไม่จบแค่นี้! เพราะหมาศรีลังกาตัวเดิม เพิ่มเติมคือพาเพื่อนมาด้วย พากันเดินคู่ตรงเข้ามาหาเราจ้า! นี่รีบคว้าไม้กวาดที่อยู่ใกล้มาเป็นอาวุธป้องกันตัว แกล้งตีขู่ ทำเป็นแกร่ง จนมันเริ่มถอยห่าง แต่ก็ยังไม่หนีไปไหน จนแฟนถือไม้กวาดแกล้งวิ่งไล่ มันถึงจะยอมไป ฟ้าเริ่มมืด ถึงเวลาที่ต้องเดินกลับที่พักกัน สรุปเราใช้เวลาช่วงเย็นไปกับการสู้กะหมาศรีลังกา ฮือออ เศร้า เขาก็ไม่ได้ขึ้น พระอาทิตย์ตกก็ไม่ได้ดู แต่คิดอีกแง่ก็ไม่เป็นไร ไม่โดนหมากัดก็พอแล้ว อีกอย่างเราเองก็ออกจากที่พักช้าไปด้วย เพราะตอนที่ไปใกล้ถึงทางขึ้นพระอาทิตย์ก็ใกล้จะตกดินแล้ว (หาข้ออ้างเก่ง)
แล้วเราก็กลับมาทันเวลามื้อเย็นพอดี เมนูวันนี้เป็นข้าวกับแกงไก่ (เย้ ได้กินข้าวแล้ว หลังจากกินโรตีมาหลายมื้อ) อร่อยมากๆ เลยมื้อนี้ แล้วยังมีดาล ผัดถั่ว แกงกะทิกะหล่ำปลี และข้าวเกรียบด้วย แกงไก่อร่อยสุด หอมเครื่องเทศมากๆ 👍🏼
อ่าน 9 วันในศรีลังกาตอนก่อนหน้าได้ที่นี่: ตอนที่ 2: ราตรีสวัสดิ์โคลัมโบ
อ่าน 9 วันในศรีลังกาตอนต่อไปได้ที่นี่: ตอนที่ 4: แวะระหว่างทางที่ดัมบุลลา
เที่ยวไลพ์ซิช (Leipzig) ตอนที่ 2: พาเที่ยวสวนสัตว์ไลพ์ซิช (Zoo Leipzig) ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสวนสัตว์
Posted at 18:27h, 18 November[…] จริงๆแล้วพอโตขึ้นมา เราได้มีโอกาสใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้น ไปเดินป่าที่เขาใหญ่กับกลุ่มใบไม้อยู่หลายครั้ง ได้ยินเรื่องเล่าของสัตว์ป่าจากคนที่ทำงานในป่าจริงๆ ได้เห็นสัตว์ใช้ชีวิตอย่างอิสระในธรรมชาติอย่างช้างในอุทยานแห่งชาติตอนไปเที่ยวศรีลังกา ก็รู้สึกยินดีเวลาที่ได้เห็นพวกเค้าได้ใช้ชีวิตอยู่ในธรรมชาติอย่างเป็นอิสระ ความรู้สึกที่ได้มาเที่ยวสวนสัตว์อีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้มาเป็นเวลานานมากแล้วก็เลยเปลี่ยนไปบ้าง.. เรามีความคิดว่าคงจะดีกว่าถ้าพวกเค้าได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระในป่า แต่ถ้ามองอีกแง่นึง.. ถ้าไม่มีสวนสัตว์ ก็คงไม่มีที่ๆเด็กจะสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์ต่างๆได้อย่างลึกซึ้งและเข้าใจมากเท่ากับการได้สัมผัสและเห็นพวกเค้าจริงๆ ถ้าไม่มีสวนสัตว์ ก็คงไม่มีสถานที่ที่คอยปกป้องและรักษาสัตว์บางสายพันธุ์ให้ยังคงอยู่รอดต่อไปได้ เพราะออกจากนอกรั้วของสวนสัตว์นี้ไป ในพื้นที่ธรรมชาติยังคงมีสัตว์ป่ามากมายที่ยังถูกล่า ถูกฆ่าอย่างไม่เป็นธรรม แต่สวนสัตว์จะเป็นที่ๆสามารถช่วยปลูกฝังความรักสัตว์ให้กับเด็กๆได้ เราเชื่ออย่างนั้น เพราะตอนที่เราเป็นเด็ก ตอนพ่อกับแม่ชวนไปสวนสัตว์ทีไร ก็ดีใจทุกที […]