9 วันในศรีลังกา ตอนที่ 6: เงียบสงบที่บาดุลลา

9 วันในศรีลังกา ตอนที่ 6: เงียบสงบที่บาดุลลา

 This is my mother land

 

รถไฟกำลังมุ่งหน้าไปสู่ปลายทาง บาดุลลา (Badulla) เมืองที่ถูกมองข้ามจากนักท่องเที่ยวไปเสียสนิท พอคนบนรถไฟไม่ค่อยมี พวกเราเลยป่วนกันได้เต็มที่ ฉันเดินไปตรงรอยต่อของแต่ละโบกี้ที่สามารถโหนราวยืนดูข้างนอกได้ กล้ากลัวๆ แต่ให้ใบหน้าได้ปะทะลมระหว่างที่รถไฟกำลังเคลื่อนไปนี่เป็นอะไรที่ดีจริงๆ

อีกฝั่งก็มีชายคนหนึ่งพาคุณลุงท่านหนึ่งมาจับราวแล้วมองออกนอกรถไฟรับลมอยู่เหมือนกันจนคุณลุงหัวเราะออกมาเสียงดัง ดูสนุกและตื่นเต้นมาก ฉันยืนดูจนอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ คุณลุงกับชายคนนั้นหันกลับมาพอดี เขายิ้มให้แล้วก็ชวนพวกเราคุย..

ถามว่าพวกเรามาจากไหน ที่บ้านเมืองคุณมีแบบนี้ไหม แล้วชอบอะไรในศรีลังกาบ้าง?

เป็นคำถามที่เขาอยากรู้ว่าคนต่างชาติอย่างเราคิดอย่างไรกับประเทศเขาบ้าง ฉันตอบกลับไปว่ารถไฟสายนี้สวยมาก คนที่นี่ใจดี ธรรมชาติที่นี่ก็อุดมสมบูรณ์สุดๆ ที่ไทยเราไม่ได้มีรถไฟขับผ่านไร่ชาและป่าเขาที่สวยงามขนาดนี้ เขาตั้งใจฟังสิ่งที่เรากำลังบอกและตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มและแววตาแห่งความภาคภูมิใจว่า

“This is my mother land” ที่นี่เป็นแผ่นดินบ้านเกิดของเขา!

 

ปลายทาง.. บาดุลลา (Badulla)

 

ในที่สุดเราก็มาถึงที่บาดุลลา (Badulla) อย่างที่พอจะเดากันได้ว่าที่นี่แทบไม่มีนักท่องเที่ยวให้เห็นเลย เราไม่ได้จองที่พักไว้ก่อนล่วงหน้าสำหรับคืนนี้ มีแค่ดู Agoda ไว้คร่าวๆ กะว่าพอออกจากสถานีรถไฟแล้วค่อยเดินตามหาที่พักแถวนั้นกัน

พอเดินออกมาก็มีคนขับตุ๊กๆ คนหนึ่งรีบตรงดิ่งเข้ามาคุยกับเรา บอกว่ามีที่พักแนะนำ พาขับไปส่งให้ได้ แต่เราไม่ได้อยากเสียเงินค่าตุ๊กๆ อยากเดินหาเองมากกว่า เลยบอกกับเขาไปว่าเราดูที่พักเอาไว้แล้ว พอโชว์ให้ดู เขาบอกว่าที่พักนั้นไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ในขณะนั้นฝนก็เริ่มตกลงมาและหนักขึ้นเรื่อยๆ เราเลยขอตัวและรีบเดินไปที่พักที่เราตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก

พอไปถึงที่พักที่เราหมายปองไว้ ราคากลับแพงกว่าที่บอกไว้ใน Agoda แถมเจ้าของยังสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้ด้วย เราเลยเดินออกไปหาที่อื่นกันต่อ พอไปเจออีกที่ที่ไม่ไกลกันนัก กลับไม่มีน้ำอุ่นให้อาบ บางร้านมีป้าย Hotel ป้ายเบอเริ่มติดอยู่แต่กลับไม่มีโรงแรม เป็นแค่ร้านอาหารอย่างเดียวเท่านั้น

จนมาเจอที่หนึ่งที่รู้สึกคุ้นมาก เพราะเป็นที่พักที่ตุ๊กๆ แนะนำให้เราตั้งแต่ทีแรกนั่นเอง ซึ่งทุกอย่างโอเคและราคาก็ไม่แพงด้วย แบกเป้เดินมาเองได้ ไม่ไกลมากจากสถานีรถไฟ

นั่งรถไฟผ่านไร่ชา แคนดี้ - บาดุลลา

วันนี้เป็นวันเกิดของฉัน ตอนแรกวางแผนไว้อย่างดีว่าจะไปกินข้าวในร้านอาหารดีๆ กัน แต่ตอนนี้กลับพาตัวเองมาอยู่ที่ the middle of nowhere อย่างแท้จริง ค้นหาดูร้านอาหารในอินเทอร์เน็ตก็ไม่มีที่ไหนน่าสนใจเลย

เราพากันเดินเล่นรอบเมือง เจอร้านไหนโอเคก็ค่อยแวะ บาดุลลายังเป็นเมืองที่ค่อนข้างห่างไกลความเจริญมากๆ ถนนที่นี่ไม่ได้ลาดยาง ฝนตกทีคือพื้นกลายเป็นดินโคลน พวกเขาเดินกันทีก็เลอะเทอะกันไป

 

ฉลองวันเกิดที่บาดุลลา

 

มีร้านขายของต่างๆ ตั้งอยู่เรียงรายทั้งร้านขายมอเตอร์ไซด์ รองเท้า เสื้อผ้า ผลไม้ ตอนนั้นพวกเราเริ่มหิว เจอร้านข้าวร้านหนึ่งระหว่างทางก็เลยแวะที่นี่กันเลย เมนูอาหารเป็นภาษาท้องถิ่นหมด เลยสั่งข้าวผัดไก่มากินกัน

ระหว่างที่นั่งรอก็หันไปเห็นป้าย “ชาซีลอน 8 บาท” ที่คุณลุงคนหนึ่งกำลังชงชาอย่างขะมักเขม้นอยู่ในซุ้มเล็กๆ หลังร้าน พวกเราลองสั่งมาคนละแก้ว ปรากฏว่าชาแก้วนั้นน่าจะเป็นชาซีลอนที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยได้กินมาเลย! หอมหวานเพราะเขาใช้นมต้มชงด้วย ออกแนวชากาแฟโบราณบ้านเรา อร่อยซะจนอยากจะกลับมากินชาที่นี่อีกครั้ง

ขากลับฉันแวะที่วัดที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับที่พัก ตรงทางเข้าวัดมีดอกบัวกองเบ้อเริ่มให้ซื้อเข้าไปไหว้ได้ในราคาแค่ 20 บาท วัดที่นี่เงียบสงบมาก อย่างน้อยฉันก็ได้ไหว้พระขอพรในวันเกิดด้วย ในระหว่างที่กำลังจะเดินออกจากวัด หางตาของฉันก็เห็นเหมือนกับว่ามีอะไรไม่รู้ขยับอยู่ตรงกำแพงวัด พอหันไปมองดีๆ

เห้ย นั่นมันช้างนี่นา มีช้างตัวเบ้อเริ่มอยู่ในวัดด้วย!

บาดุลลา

พอถามคนขายดอกไม้ว่ามีช้างเข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เขาบอกว่ามีคนมาถวายให้วัดไว้ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นแค่ลูกช้างตัวเล็กๆ ก่อนมาวัดเราแวะซื้อกล้วยไว้กินพรุ่งนี้เช้า ตอนนี้เลยเอามาให้ช้างตัวนี้กินแทน ตอนนั้นมันกำลังกินใบไม้ที่มีคนเอามาวางไว้ให้อยู่ แต่น่าจะชอบกล้วยมากกว่าแน่ๆ

“ขอให้กล้วยเป็นอาหารกับช้างได้ไหมคะ” ฉันถามคนขายดอกไม้ เขาพยักหน้าบอกว่าได้แล้วพาเราเดินเข้าไปหา แต่เตือนไว้ว่าอย่าเข้าไปใกล้จนเกินไป มันอันตราย พวกเราโยนกล้วยให้ช้างกินกัน มันก็ใช้งวงควานหาจนเจอไม่ว่าจะหล่นไปอยู่ตรงไหนก็ตาม ให้กล้วยที่ซื้อมาไว้ซะจนหมดเกลี้ยงเลยล่ะ

หลังจากออกจากวัดมา เราถามตุ๊กๆ ดูว่ารถบัสจากบาดุลลาไปชายหาดทางใต้ของศรีลังกาพรุ่งนี้ออกประมาณกี่โมง เขาอุตส่าห์โทรถามให้เราแล้วได้คำตอบว่าให้ยืนรอรถหน้าที่พักได้เลยประมาณ 6.50 น. รถบัสจะมารับและลงจอดที่เมืองกอลล์ (Galle) แต่พอถามเจ้าของที่พักอีกที เขากลับบอกว่า 8 โมงเช้า เวลาไม่ตรงกันแบบนี้ เราเลยตัดสินใจเดินไปดูเองที่สถานีรถบัสเลยดีกว่า

พอไปถึงที่สถานี ลองถามคนที่ขายของในร้านค้าแถวนั้นแต่เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เลยเรียกคนที่เดินผ่านแถวนั้นมาช่วยแปล ได้ความว่ารถออกเวลาประมาณ 6 โมงครึ่ง แต่พอถามอีกคน เขาบอกเป็น 7 โมงครึ่ง ส่วนอีกคนที่อยู่ข้างๆ บอก 7 โมง ถามทีได้เวลาใหม่ที ยอมแพ้ล่ะ คิดกันไว้ว่าก็คงราวๆ นี้ละ 6 – 7 โมงเช้า

ตอนแรกรู้สึกเซงๆ มากว่าทำไมถึงพาตัวเองมาอยู่ในเมืองที่ไม่มีอะไรเลยในวันเกิดแบบนี้ ร้านอาหารดีๆ ยังไม่มีเลย แต่อะไรล่ะที่ฉันเอามาตัดสินว่าร้านอาหารนี้ดีหรือไม่ดี ต้องเป็นร้านอาหารที่มีราคาแพงหรือร้านอาหารฝรั่งเท่านั้นหรือ ร้านที่เราแวะมีชาซีลอนราคาแค่ 8 บาทที่ถูกและอร่อยมากๆ จะหาแบบนี้ที่ไหนได้อีก! ได้แวะไหว้พระในวันเกิด แถมเจอเซอร์ไพรส์เป็นช้างตัวโตในวัด และได้แบ่งปันให้กล้วยไปจนหมด

ตอนแรกที่กังวลว่าจะไม่ได้ตั๋วรถไฟแต่ก็ได้ในที่สุด ตั้งแต่เช้าจนบ่ายได้นั่งไปบนเส้นทางรถไฟที่สวยที่สุดเส้นทางหนึ่งของโลก ได้มาพิสูจน์แล้วก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกถึงอยากมาสัมผัสกับประสบการณ์นี้ ได้เป่าเทียนพร้อมกับของขวัญ ได้รับคำอวยพรวันเกิดจากคนศรีลังกา ลองคิดดูดีๆ อีกที นี่น่าจะเป็นหนึ่งในของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุด ไม่ได้อยากได้อะไรไปมากกว่านี้แล้วล่ะ..

บอกลาบาดุลลาไปสัมผัสกับ Beach life ในศรีลังกาต่อที่กอลล์ (Galle)

 

เป็นอีกวันที่เราต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปให้ทันรถบัส รถบัสที่นี่ไม่มีภาษาอังกฤษกำกับ ต้องถามว่าคนแถวนั้นว่าคันไหนไปที่เมืองกอลล์ (Galle) แล้วค่อยกระโดดขึ้นรถคันนั้น เรามาเร็วก่อน 7 โมงเลยได้ที่นั่ง แต่คิดผิดมากที่เลือกนั่งหน้าสุด เพราะรถบัสวิ่งลงภูเขา โยกไปโยกมา นั่งเกร็งกันตลอดทาง ตอนรถลงเขานี่เสียวมาก มองลงไปคือเหวชัดๆ แถมช่วงหลังๆ คนทยอยขึ้นมาเรื่อยๆ ด้วย รถเลยแน่นมาก

แต่ฉันก็หลับตลอดทางอีกเช่นเคย หลังจากที่รถลงเขามาก็ค่อยยังชั่ว จนมาถึงทางโค้งหนึ่งที่จะมีทั้งพระพุทธรูปและรูปปั้นเทพฮินดูตั้งอยู่ด้วยกันเต็มไปหมด รถแทบทุกคันที่ขับผ่านจะแวะจอด แล้วเอาเงินไปหย่อนตู้ น่าจะเป็นการขอให้เดินทางปลอดภัย อย่างรถบัสของเรา กระเป๋ารถเมล์ก็เอาเงินที่เก็บจากผู้โดยสารนี่ล่ะไปหย่อนไว้บางส่วน ถ้ารถพากันจอดที่โค้งอันตรายแบบนี้ ก็น่าจะเป็นกุศโลบายหนึ่งที่ช่วยลดอุบัติเหตุได้ไม่น้อยเลย

 

อ่าน 9 วันในศรีลังกาตอนก่อนหน้าได้ที่นี่: ตอนที่ 5: นั่งรถไฟผ่านไร่ชา แคนดี้-บาดุลลา

 

อ่าน 9 วันในศรีลังกาตอนต่อไปได้ที่นี่: ตอนที่ 7: ชิวๆ ที่กอลล์ เมืองท่าของศรีลังกา

2 Comments