Author: threeteatree

รีวิวเที่ยวเบอร์ลินด้วยตัวเอง: Crazy Creative and Hard City เราถามแฟนที่เป็นคนเยอรมันว่าถ้าให้นิยามคำ 3 คำให้กับเบอร์ลินจะนิยามว่าอะไร? เค้าตอบกลับมาว่า "Crazy Creative and Hard" Crazy ภาพ street art บนกำแพงเบอร์ลินบางส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่ที่ East Side Gallery เป็นภาพของธงชาติของเยอรมันและอิสราเอล (ชาวยิว) ที่อยู่บนผืนเดียวกัน ขอเตือนเพื่อนๆ ไว้ก่อนเลยว่า หากเดินเล่นอยู่ตามถนนในเบอร์ลินอยู่ดีๆ อาจจะเจอคนบ้าหลายๆ คนตามถนนเข้าได้ เดินพูดคนเดียวบ้าง นั่งคุยคนเดียวกับตุ๊กตาหมีบ้าง เพราะเราเจอกับตัวเองมาแล้ว ได้แต่เดินเร็วๆ รีบผ่านพวกเค้าไป นอกจากคนบ้าแล้วก็ยังมีคนไร้บ้านและขอทานจำนวนไม่น้อยเลย ครั้งนึงเราเดินเล่นอยู่เพลินๆ ที่ใต้สะพาน Oberbaum Bridge ก็มีคนหน้าตาดีเข้ามาขอเงินแถมพูดภาษาอังกฤษได้ชัดแจ๋วเลยประมาณว่า "พวกคุณกำลังมีช่วงเวลาที่ดีที่นี่ พอจะช่วยแบ่งเศษเงินให้ผมหน่อยได้ไหม? " เราได้แต่ส่ายหน้าและเดินหนี แต่นั่นก็เป็นครั้งเดียวที่เจอว่ามีคนเดินเข้ามาขอเงินถึงตัวแบบนี้ Creative ​ Street art ย่าน Prenzlauer Berg เบอร์ลินขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งสตรีทอาร์ต...

วิธีเดินทางจากอัมสเตอร์ดัมมาเบอร์ลินด้วยรถบัส Flixbus หลังจากเที่ยวเนเธอร์แลนด์เป็นเวลา 1 อาทิตย์ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเดินทางไปยังจุดหมายต่อไปนั่นก็คือกรุงเบอร์ลินในประเทศเยอรมันนั่นเอง ใครที่อยากไปเที่ยวอัมสเตอร์ดัมแล้วไม่รู้ว่าจะไปเมืองไหนต่อดีๆใกล้ๆ เราแนะนำเมืองนี้เลย เมืองที่แม้แต่คนเยอรมันเองก็ยังชอบและอยากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่.. เราเดินทางโดยรถบัสจากอัมสเตอร์ดัมมาที่เบอร์ลินใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 8.20 ชั่วโมง โดยขึ้นรถบัสจากป้ายรถ Flixbus บริเวณ Amsterdam Sloterdijk ราคาถูกสุดอยู่ที่ประมาณ 27.99 ยูโร (940 บาท) จองตั๋วรถบัสในยุโรป Flixbus Flixbus เป็นบริษัทที่ให้บริการรับส่งผู้โดยสารโดยรถบัสราคาถูกทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศในยุโรปที่เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนยุโรปเอง เพื่อนๆสามารถจองตั๋วออนไลน์ได้ในลิงก์เว็บไซต์ของ Flixbus ที่แนบไว้ให้ได้เลยค่ะ รถบัส Flixbus ณ จุดพักรถ เลือกวันที่เราต้องการเดินทาง ราคามีหลายเรท รถออกหลายช่วงเวลา และมีหลายจุดขึ้นรถ ยิ่งจองล่วงหน้านานๆยิ่งถูกลง หลังจากจองเสร็จแล้ว จ่ายเงินด้วยบัตรเครดิต ทางเว็บไซต์จะส่งไฟล์ตั๋วมาให้ทางอีเมลที่เรากรอกไป เป็นไปได้แนะนำให้ปริ้นใบตั๋วออกมาเก็บไว้หรือเซฟไฟล์ pdf ไว้ที่เค้าส่งมาให้ไว้บนมือถือให้เรียบร้อยเพราะพนักงานบนรถบัสจะต้องทำการสแกนบาร์โค้ดบนตั๋วเหล่านั้นก่อนขึ้นรถ เวลาเดินทางข้ามประเทศ แม้เราจะถือวีซ่าเชงเก้นอยู่ก็ตาม ต่างชาติอย่างเราเตรียม passport...

เที่ยวทะเลเนเธอร์แลนด์

กรุงเฮก (The Hauge) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในทางตอนใต้ของประเทศเนเธอร์แลนด์ เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศ รองมาจากอันดับสองก็คือเมืองรอตเทอร์ดาม (Rotterdam) และอันดับหนึ่งคือเมืองอัมสเตอร์ดัม (Amsterdam) นั่นเอง แม้กรุงเฮกจะไม่ใช่เมืองหลวงแต่เมืองนี้ก็เป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีความสำคัญมากเพราะเป็นที่ตั้งของรัฐสภาของประเทศและเป็นที่พักของกษัตริย์วิลเลียม อเล็กซานเดอร์อีกด้วย (King Willem-Alexander) ณ เมืองนี้มีชาดหาดเรียบทะเลเหนือ (North sea) ที่มีชื่อว่า ชายหาดชเวนนิงเงน (Scheveningen beach) ที่เป็นอีกหนึ่งแหล่งพักผ่อนฮิตของคนดัตช์เอง

ตอนที่แล้วเราพาเดินเล่นในใจกลางเมืองของอัลค์มาร์กันไปแล้ว ตอนนี้เราจะพาเปลี่ยนบรรยากาศไปขี่จักรยานท่ามกลางธรรมชาติของอัคล์มาร์กันบ้างค่ะ เรา แฟน และเพื่อนดัตช์พากันขี่จักรยานจากบ้านไปที่ Klimduin Schoorl ที่นี่มีทั้งเนินทรายธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้นให้ผู้คนได้มาวิ่งเล่นขึ้นลงกันให้เมื่อย โดยเฉพาะเด็กๆและครอบครัว รอบๆล้อมไปด้วยต้นไม้เปรียบเสมือนป่าขนาดใหญ่ของเมือง กว่าจะปั่นจักรยานมาถึงที่เนินทรายที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ว่า (The Climbing Dune in Klimduin Schoorl) เราอ่วมเลยเพราะปั่นกันไปเกือบ 7-8 กิโลได้ ทางจักรยานไปยัง Klimduin Schoorl แกะ แกะ และแกะเต็มไปหมดเลยระหว่างทาง ชอบวิวนี้มากเลยถ่ายเก็บไว้ เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจีทั้ง 2 ฝั่ง จักรยานของเพื่อนเราคันใหญ่มากและที่นั่งขนาดปรับลงมาจนสุดแล้วก็ยังสูงเกินไปสำหรับเราอยู่ดี เวลาเราถีบจักรยานต้องยืดขาสุดตัวเลยเพื่อปั่น ขอบ่นนิดหน่อยแต่การปั่นจักรยานที่นี่มันดีจริงๆ เพื่อนไม่ยอมบอกเราว่าต้องปั่นไปไกลแค่ไหน เราเลยได้แต่ปั่นตามไปเรื่อยๆ พอเราถามว่า "Are we there yet?" ถึงยังเนี่ย? เพื่อนก็ได้แต่บอกว่าใกล้แล้วๆ ทุกที ฮ่าๆ อีกหนึ่งกำลังใจของการปั่นจักรยานครั้งนี้คือวิวระหว่างทางและผู้คนที่ต่างก็พากันขี่จักรยานสวนกันไปมา ผู้คนมากมายไม่ว่าจะเป็น เด็ก ผู้ใหญ่...

เที่ยวอัลค์มาร์ด้วยตัวเอง: แชร์ประสบการณ์ใช้ชีวิต 1 อาทิตย์ในบ้านคนดัตช์ ภาพของอาคารบ้านเมืองในเมืองอัลค์มาร์หลังจากออกจากสถานีรถไฟ Alkmaar วันที่เราไปอัมสเตอร์ดัมวันแรกเป็นช่วงเทศกาล Pride ทำให้เห็นนักท่องเที่ยวเดินไปมาอยู่ตามท้องถนนมากมาย เห็นขยะตามรายทางบ้างจากการเฉลิมฉลองในวันก่อนหน้า ทำให้ความคาดหวังที่มีว่าอัมสเตอร์ดัมน่าจะเป็นเมืองที่เงียบสงบและสะอาดสะอ้านถูกหดลดลงไปบ้าง แต่เพื่อนเราคนไทยที่เคยมาเที่ยวที่อัมสเตอร์ดัมบอกว่าปกติตอนไม่มีเทศกาลไม่เป็นแบบนี้และสะอาดกว่านี้ เราไปเที่ยวอัมสเตอร์ดัม 2 วันด้วยกันคือวันนึงที่เป็นช่วงเทศกาลและอีกวันหลังจากนั้นหลายวัน บรรยากาศต่างกัน หากเพื่อนๆเดินเล่นไปเรื่อยๆจนออกจากโซนท่องเที่ยวมาแล้วก็จะได้เห็นอีกมุมของที่นี่ ที่ๆที่เป็นย่านอาศัยของคนอัมสเตอร์ดัมจริงๆ เงียบสงบและน่าอยู่.. ภาพด้านล่างเป็นตู้แลกหนังสือที่ตั้งอยู่หน้าบ้านในเมืองอัลค์มาร์ เจ้าของบ้านตั้งไว้ให้เผื่อใครอยากได้หนังสือเล่มไหนไปอ่านก็หยิบไปได้เลย ใครอยากยื่นหมูยื่นแมว เอาหนังสือของตัวเองมาแลกให้เจ้าของบ้านอ่านด้วยก็ได้ ทำไมน่ารัก ก็แบ่งปันกันซี อยู่ละแวกเดียวกัน :) หากเพื่อนๆพอจะมีเวลาเที่ยวนอกเมืองอัมสเตอร์ดัมบ้าง เราอยากแนะนำอีกหนึ่งเมืองที่ไม่ไกลจากอัมสเตอร์ดัมนักให้ได้รู้จักกันค่ะ โดยสามารถนั่งรถไฟไปได้จากสถานี Amsterdam Centraal ประมาณ 40 นาทีเท่านั้น เมืองนี้มีชื่อว่า "อัลค์มาร์" (Alkmaar) เมืองที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศเนเธอร์แลนด์ เที่ยวอัลค์มาร์ด้วยตัวเอง: บ้านของคนดัตช์ เราได้มีโอกาสอยู่ที่เมืองนี้นานกว่าอัมสเตอร์ดัมเพราะแวะมาเยี่ยมเพื่อนชาวดัตช์ด้วยซึ่งบ้านของครอบครัวเค้าตั้งอยู่ที่เมืองนี้ จากการที่ได้มีโอกาสไปอาศัยในชายคาบ้านเดียวกันกับคนดัตช์เป็นเวลา 1 อาทิตย์ก็ได้เห็นการใช้ชีวิตของคนที่นี่อย่างใกล้ชิดขึ้นมาอีกหน่อย บ้านของพวกเค้าน่ารักมาก บ้านของเพื่อนเป็นหนึ่งในบ้านแฝดที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านคล้ายหมู่บ้านจัดสรรในไทยนี่ล่ะ แต่ที่นี่ไม่มีการปิดทางเข้าออกที่ต้องมียามเฝ้าอยู่ที่ป้อมที่แทบจะหลับตลอดเวลาหรือต้องมีรั้วกั้น บ้านแบบดัตช์เป็นบ้านทรงสูง ข้างในมีหลายชั้น เรานอนชั้นบนสุดซึ่งเป็นห้องใต้หลังคาที่เคยเป็นห้องนอนของน้องสาวเพื่อนมาก่อน...

รีวิวเที่ยวอัมสเตอร์ดัมด้วยตัวเอง: เล่าสภาพอากาศตอนไปเที่ยวอัมสเตอร์ดัม (Amsterdam) ในเดือนสิงหาคม ช่วงหน้าร้อน ต่างจากบ้านเราที่พระอาทิตย์ขึ้นประมาณ 6 โมงเช้าและตกดินเวลา 6 โมงเย็นเหมือนกันในทุกวัน ซัมเมอร์ในยุโรปที่อยู่ในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนกันยายนของแต่ละปีนั้น กว่าฟ้าจะเริ่มมืดก็ปาเข้าไป 3 ถึง 4 ทุ่มนู่นแล้ว ทำให้วันๆนึงในช่วงหน้าร้อนของที่นี่ยาวนานกว่าปกติ เราเองก็ชอบมากเพราะให้ความรู้สึกว่า วันๆนึงมันนานกว่าเดิม ทำให้สามารถทำอะไรได้หลายอย่างใน 1 วันกว่าพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไป ตรงกันข้ามกับหน้าหนาวของที่นี่ที่ประมาณ 4 โมงเย็นพระอาทิตย์ก็เริ่มตกดินแล้ว ส่วนตอนเช้ากว่าพระอาทิตย์จะขึ้นก็ 9 - 10 โมง วันเวลาในช่วงหน้าหนาวเลยจะสั้นกว่ามาก บรรยากาศเต็มไปด้วยความเหน็บหนาวและมืดครึ้ม คนไม่ค่อยอยากออกไปไหนกันเพราะข้างนอกหนาวมาก ทำให้ส่วนใหญ่คนที่นี่จะชอบช่วงหน้าร้อนกันมากกว่า เพราะมีกิจกรรมมากมายรออยู่ที่สามารถทำได้ในช่วงหน้าร้อน มีเวลาขี่จักรยานชิวๆไปนู่นไปนี่ กินไอศครีมอร่อยๆ แต่งตัวสบายๆได้ ไม่ต้องแต่งตัวเป็นหมีกันตลอดเวลา แต่ในช่วงหน้าหนาวก็จะมีช่วงเทศกาลคริสต์มาสที่แต่ละบ้านจะพากันตกแต่งต้นคริสต์มาสจากต้นไม้จริงๆภายในบ้าน สถานที่ต่างๆก็พากันตกแต่งด้วยต้นคริสต์มาสและไฟสวยงาม และที่สำคัญคือมีตลาดในช่วงเทศกาลคริสมาส (Christmas market) ที่มีอาหารและของน่ารักๆมาขายมากมายให้คนได้ไปเดินเล่นดูนั่นดุูนี่และได้สนุกกัน คนไทยที่อยู่ในกรุงเทพตลอดแบบเรา ก็คิดไว้ตลอดว่าถ้าได้มายุโรปในช่วงหน้าหนาวบ้างก็น่าจะดี...

เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมก่อนไปเที่ยวยุโรป การเดินทางครั้งนี้จะเป็นการเดินทางที่ยาวนานที่สุดในชีวิตครั้งแรกของเรา ก่อนหน้านี้เคยเที่ยวแค่ในเอเชียตลอดเพราะว่าถูกกว่า ง่ายกว่า และรู้สึกปลอดภัยกว่า ทริปที่นานที่สุดที่เคยมีคือเที่ยวอินเดียด้วยตัวเองเป็นเวลา 2 อาทิตย์ แต่มันถึงเวลาแล้วที่เราจะพาตัวเองไปไกลกว่าเดิม พาตัวเองออกไปจาก comfort zone ที่มีในห้องสี่เหลี่ยมที่กรุงเทพ เราเลยตั้งใจเดินทางไปยุโรปเพื่อท่องเที่ยวเก็บประสบการณ์ชีวิตเป็นเวลาทั้งหมด 2 เดือนด้วยกันและถือโอกาสไปเยี่ยมครอบครัวของแฟนที่ประเทศเยอรมันเป็นครั้งแรกด้วย เราเลยตื่นเต้น (ปนเครียด) ไปซะทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องการขอวีซ่าเชงเก้นที่กลัวว่าจะไม่ผ่านเพราะเราไม่ได้มีงานประจำ เรื่องงานที่เราต้องหยุดงานฟรีแลนซ์ทุกอย่างที่มีเพราะอยากจะใช้เวลา 2 เดือนที่กว่าจะได้มานี้ให้คุ้มค่าที่สุดเพราะคงไม่ได้มีโอกาสแบบนี้อีกง่ายๆ และเรื่องเงินที่เราเก็บหอมรอมริบมาจะต้องร่อยหรอไประหว่างการเดินทางไกลครั้งนี้ แต่นั่นเป็นค่าการศึกษานอกตำราที่เราเต็มใจจ่าย และแน่นอนว่าจะต้องเป็นการเที่ยวแบบประหยัดและคุ้มค่าที่สุดแบบที่เราพยายามทำมาตลอดด้วยการวางแผนการเดินทางด้วยวิธีที่ถูกที่สุดเท่าที่จะหาได้ เช็คอินเสร็จเราจะได้ตั๋วเครื่องบินมา 2 ใบ ใบแรกคือกรุงเทพ - โดฮา ใบที่สองคือโดฮา - อัมสเตอร์ดัม แนะนำวิธีเดินทางด้วยรถบัส รถไฟ และเครื่องบินในยุโรป (แนะนำวิธีหาตั๋วเครื่องบินราคาถูก) เปรียบเทียบราคาว่าเดินทางแบบไหนจะถูกที่สุดระหว่างเดินทางด้วยรถบัส รถไฟ หรือเครื่องบิน ก็เลือกอันนั้น หลังจากค้นดูราคาค่าตั๋วปรากฏว่าตั๋วเครื่องบินสำหรับเดินทางภายในยุโรปราคาถูกมีอยู่เยอะมาก ที่ว่าถูกนี่คือถูกจนไม่น่าเชื่อเลยล่ะค่ะ บางครั้งถูกกว่ารถบัสหรือรถไฟซะอีก ค่าเครื่องบินที่เราค้นเจออยู่ที่ประมาณ 300 -...

"จ่ายตลาด JaiTalad" เป็นชื่อของตลาดที่ได้รวบรวมเหล่าร้านค้ามากมายที่มีอุดมการณ์ในการส่งต่อสินค้าที่เป็นมิตรต่อคนและสิ่งแวดล้อมให้ลูกค้าเข้าไว้ด้วยกัน ให้เราสามารถซื้อสินค้าเหล่านี้แบบออนไลน์ส่งตรงถึงบ้านได้ พร้อมคอยเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจของแต่ละสินค้า ให้เบื้องหลังการผลิตของครัวเรือนออกสู่สายตาผู้บริโภคได้เห็นความเป็นมาของอาหารปลอดภัยเหล่านี้และเห็นถึงคุณค่าที่ดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค นอกจากขายออนไลน์แล้วก็ยังร่วมกันออกอีเว้นท์เพื่อจำหน่ายสินค้าออร์แกนิคให้ถึงมือผู้บริโภคในเมืองกรุงอย่างเราๆได้เข้าถึงง่ายขึ้นอีกด้วย อย่างครั้งนี้จัดกันกลางเมืองย่านธุรกิจอย่างทองหล่อที่ทองหล่อซอย 3 บนพื้นที่สวนเล็กๆย่านทองหล่ออย่าง "สวนครูองุ่น" บรรยากาศภายในตลาดเป็นไปอย่างอบอุ่น เด็กๆเล่นกันในมุมของเล่นสาธารณะ ภายในมีคาเฟ่ให้เราได้ซื้อเครื่องดื่มเย็นๆดับร้อน ร้านค้าตั้งอยู่ในซุ้มของตัวเองใต้ร่มไม้ในสวน ส่วนตัวตลาดเองก็มาพร้อมกับคอนเซ็ปน่ารักๆที่อยากจะช่วยกันลดขยะภายในงาน พร้อมรณรงค์การใช้ลดถุงพลาสติก มีการงดให้/รับถุงพลาสติกทั้งร้านค้าและลูกค้า ลูกค้าจะพกถุงผ้ามาจากบ้านหรือใส่ของลงในกระเป๋าใบโตของตัวเองก็ได้ ทางเข้ามีตะกร้าหลายใบให้เรายืมไปช้อปปิ้งภายในงานก่อนได้ น้ำเปล่าเย็นๆถูกเสิร์ฟให้ผู้คนภายในด้วยแก้วกระดาษทั้งตรงทางเข้าและด้านหลังของตลาด ตะกร้าให้ยืมไปจ่ายตลาดซื้อของจากในงานได้ :) พร้อมรายล้อมไปด้วยร้านค้าที่มีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจมากมายภายในงาน มีผลผลิตอินทรีย์จากเกษตรกรโดยตรงที่นำมาขายด้วยตัวเอง ปลูกแบบไร้สารเคมีให้ได้มากที่สุดและแปรรูปบนสวนและฟาร์มของตัวเอง มีผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตและเจ้าของธุรกิจที่สนใจในผลผลิตอินทรีย์แล้วนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อจำหน่ายอาหารปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภคและยังเป็นการสนับสนุนเหล่าเกษตกรของไทยอีกด้วย น้ำอ้อยคั้นสดแท้ 100% ตรา CAN น้ำอ้อยสดผสมน้ำผึ้งมะนาวจากอ้อยในไร่อ้อยเกษตรอินทรีย์ "ไร่โชคอำนวย หนองหญ้าไซ" เจ้าของไร่เค้ามาขายด้วยตัวเองเลยค่ะ ราคาแค่แก้วละ 40 บาท เสิร์ฟพร้อมหลอดไม้ไผ่และที่ถือแก้วที่คนขายนั่งทำเองทีละอันอยู่ที่บูท ลองแล้วรสชาติอร่อยมาก ดื่มแล้วสดชื่น หวานเปรี้ยวนิดๆ ฟินจนพี่เดินเล่นจากดองกี้ทองหล่อ ซอย 10 ที่อยู่ไม่ไกลกันเสร็จกลับมาต้องแวะซ้ำอีกรอบกับน้ำอ้อยธรรมดาบ้าง ไม่ผิดหวังเพราะก็อร่อยไม่ทิ้งกัน ! เราใช้แก้วเดิมเค้าลดให้อีก 5 บาท...

มาถึงก็จะมีเจ้าตุ๊กๆรูปเพนกวินสีฟ้าสัญลักษณ์ของดองกี้ตั้งอยู่ด้านหน้า นึกว่าจะเป็นแค่ร้านเล็กๆ ที่ไหนได้เป็นห้างเต็มตัว ใหญ่โตเชียวค่ะ ข้างๆกันที่ด้านขวามือจะมีร้านขายมันหวานญี่ปุ่นอบเล็กๆตั้งอยู่ กลิ่นมันหอมยั่วออกมาจนอดซื้อมาลองกินไม่ได้ เราจัดไป 1 ชิ้น ในราคา 80 บาท ลองแล้ว อร่อยมาก มันหวานก็หวานจริง เนื้อมันก็นุ่ม แถมกลิ่นหอมจากการอบ เรากินตอนไม่ร้อนแล้วเพราะอิ่มจากมื้อกลางวันมายังอร่อยเลย กินตอนร้อนๆจะอร่อยขนาดไหนกันนะ ไว้พกท้องว่างๆมาลองครั้งหน้า :) ไปค่ะ ไปดูกันว่าภายในร้านดองกี้ทองหล่อมีอะไรขายบ้าง มาดูที่โซนของกินชั้น 1 กันก่อนเลย ฮ่าๆ ขนมญี่ปุ่นในดองกี้ ทองหล่อ สาวกคิทแคทเฮได้เพราะที่นี่มีคิทแคทหลากหลายรสชาติขาย บางรสชาติส่วนใหญ่ก็ลดราคา 15% อยู่ด้วย จากปกติ 199 บาท เช่น คิทแคท เดลี่ ลักซูลี่ ไทม์ แครนเบอร์รี แอนด์ แอลมอนด์ เหลือแค่ 159 บาท ได้แก่ คิทแคทรสคุมะมงดังโกะ...

สวนครูองุ่น สวนเล็กๆที่ถูกสงวนไว้เพื่อทุกคนใจกลางทองหล่อ เป็นพื้นที่สาธารณะขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในทองหล่อซอย 3 ท่ามกลางย่านธุรกิจที่มีตึกสูงมากมาย ร้านอาหารมีชื่อที่ราคาอาหารไม่ค่อยเป็นมิตรกับเงินในกระเป๋าเราซักเท่าไหร่ บาร์คลับต่างๆเรียงราย มองขึ้นไปก็จะเห็นคอนโดที่กำลังสร้างใหม่อีกมากมาย แต่สวนแห่งนี้ยังถูกสงวนไว้ให้เป็นสวนสาธารณะให้กับคนเมือง หากทุกคนได้มีโอกาสมาเดินเล่นแถวทองหล่อ เราอยากแนะนำให้แวะมานั่งเล่นพักใจที่สวนเล็กๆแห่งนี้กันซักพักดูค่ะ หากท่านมีลูกหลานก็พามาเล่นของเล่นกันที่นี่ได้ หรือใครมีของเก่าที่ไม่ได้ใช้แล้วอยากนำมาแบ่งปันเพื่อให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น ก็สามารถพกมาบริจาคให้แก่มูลนิธิกระจกเงาได้ที่นี่เช่นกัน ทางสวนจะมีกิจกรรมต่างๆจัดขึ้นในพื้นที่แห่งนี้อยู่บ่อยครั้ง คราวที่แล้วเป็นงาน ร้านงานคราฟท์และสินค้าออร์แกนิคน่าอุดหนุนจาก NooJo Art & Farm เราก็ชอบไปเดินเล่น เดินดูนู่นดูนี่ ได้งานคราฟท์น่ารักๆติดไม้ติดมือกลับมา ได้ของกินออร์แกนิคอร่อยๆจากพี่ๆเจ้าของไร่และฟาร์มโดยตรง ครั้งนี้ก็จัดอีกแต่เป็นในชื่อของ Charity Yard Sales กับพี่ๆเจ้าของผลงานและสินค้าที่น่าสนใจมากมาย เราเองก็เลยไม่พลาด ขอเข้าไปทำความรู้จักกับพี่ๆจากร้านงานคราฟท์และร้านอาหารออร์แกนิคต่างๆภายในงาน ขอถ่ายรูป และช่องทางการติดต่อเก็บไว้ พร้อมชวนคุย แล้วนำเรื่องราวของสินค้าน่ารักต่างๆเหล่านี้มาบอกต่อให้กับทุกคนที่ชื่นชอบในงานคราฟท์และอาหารออร์แกนิคเหมือนกันกับเรา บอกเลยว่ามีแต่ร้านเจ๋งๆทั้งนั้น ! ไปดูภาพบรรยากาศในงานกันค่ะ ชอบร้านไหนเป็นพิเศษก็จับจองไว้ในใจกันได้เลย :) ร้านขายสบู่ทำมือ "เฌอม" สบู่จากน้ำมันมะกอกธรรมชาติและเชียบัตเตอร์ ไม่มีน้ำหอม 50 กรัม...