เที่ยวเบอร์ลิน (Berlin) ตอนที่ 7: ชมสตรีทอาร์ตบนกำแพงเบอร์ลินที่ยังไม่ถูกทำลายที่อีสต์ไซด์แกลลอรี (The East Side Gallery) และเดินเล่นใต้สะพานโอเบอร์บวม (Oberbaum Bridge)

เที่ยวเบอร์ลิน (Berlin) ตอนที่ 7: ชมสตรีทอาร์ตบนกำแพงเบอร์ลินที่ยังไม่ถูกทำลายที่อีสต์ไซด์แกลลอรี (The East Side Gallery) และเดินเล่นใต้สะพานโอเบอร์บวม (Oberbaum Bridge)

เราเคยคิดมาตลอดว่าถ้าได้มาเที่ยวที่ประเทศเยอรมัน สิ่งที่เราอยากจะมาเห็นมากที่สุดก็คือกำแพงเบอร์ลิน (Berlin Wall) เท่าที่เห็นที่บริเวณเช็คพอยท์ ชาร์ลี (Checkpoint Charlie) ก็เป็นเพียงแค่บางชิ้นส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่เท่านั้นเพราะตั้งแต่ปี 1989 หลังจากที่รัฐบาลเยอรมันตะวันออกประกาศว่าอนุญาตให้คนเยอรมันฝั่งตัวเองข้ามฝั่งไปยังเยอรมันตะวันตกได้ ผู้คนต่างพากันดีใจพร้อมทั้งช่วยทุบทำลายกำแพงเบอร์ลินที่เคยมีความยาวมากถึง 140 กิโลเมตรทิ้งเพื่อไม่ให้เป็นที่กั้นขวางคนเยอรมันทั้งสองฝั่งอีกต่อไป รัฐบาลเองก็ส่งคนและเครื่องมือมาช่วยกันทำลายด้วยแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะบางส่วนของกำแพงเบอร์ลินกว่า 1.3 กิโลเมตรยังคงถูกสงวนไว้เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งให้คนรุ่นหลังได้มาเห็นว่าครั้งนึงเคยมีกำแพงเบอร์ลินมาก่อน กำแพงเหล่านี้ถูกเพ้นท์ภาพที่กำแพงด้านในของฝั่งตะวันออกจนกลายเป็นแหล่งรวบรวมสตรีทอาร์ตจากศิลปินอิสระมากมายจากทั่วโลกมากกว่า 100 คนตั้งแต่ปี 1990 หลังกำแพงถูกทำลายลงจนกลายเป็นที่ที่นักท่องเที่ยวอยากมาถ่ายรูปคู่กับสตรีทอาร์ตคูลๆเหล่านี้ ที่นี่มีชื่อว่า “อีสต์ไซด์แกลลอรี (The East Side Gallery)”

รีวิวเที่ยวเบอร์ลินด้วยตัวเอง: วันที่สองของการเที่ยวเบอร์ลิน เริ่มต้นกันด้วยชมสตรีทอาร์ตบนกำแพงเบอร์ลินที่ยังไม่ถูกทำลาย

เพื่อนๆคิดว่าธงชาติอันนี้หน้าตาคุ้นๆไหม? พอจะเดาออกกันไหมว่าเป็นธงชาติของประเทศอะไรกับประเทศอะไร?

Lead me on my dreams
Among different time and space
To share hope with nations and believers
To observe with modesty the pure truth
And to reveal prudently the magic and the mystery
– Varda Carmeli
นำพาฉันไปสู่ความฝันที่ฉันมี
ท่ามกลางเวลาและพื้นที่ที่ต่างกัน
เพื่อแบ่งปันความหวังร่วมกับประเทศชาติและผู้ที่มีความเชื่อทั้งหลาย
เพื่อให้เห็นถึงความบริสุทธิ์และความจริงแท้
และเพื่อเปิดเผยเวทมนตร์และความลึกลับออกมาอย่างชาญฉลาด

สตรีทอาร์ตแรกที่เราเจอที่อีสต์ไซด์แกลลอรี เป็นการเพ้นท์ภาพของธงชาติประเทศเยอรมันและอิสราเอลที่เป็นประเทศของชาวยิวให้เป็นเหมือนธงผืนเดียวกันเพื่อสื่อถึงสันติภาพ พอกันทีกับเหตุการณ์ร้ายๆที่เคยเกิดขึ้นระหว่าง 2 ประเทศและ 2 เชื้อชาตินี้ ต่างกัน แต่ต่างก็เป็นเพื่อนร่วมโลกเหมือนกัน เป็นสตรีทอาร์ตบนกำแพงเบอร์ลินที่เราชอบมากที่สุดเลยก็ว่าได้ เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยพลังและแฝงไปด้วยความหมายที่ดี

Many small people who are in many small places do many small things that can alter the face of the world.
คนตัวเล็กๆทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในสถานที่เล็กๆในหลายๆแห่งต่างก็ทำในสิ่งเล็กๆที่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้

ภาพวาดอันนี้อาร์ตมากเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงๆแล้วเค้าจะสื่อถึงอะไร ฮ่าๆ แต่เท่าที่เราเห็นจากภาพ ด้านซ้ายมือเป็นธรรมชาติที่แห้งแล้ง ด้านขวามือเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี ตรงกลางเป็นภูเขาและต้นไม้ที่ออกดอกสวยงาม รอบๆมีบ้านหลังเล็กๆที่ถูกแยกชิ้นส่วน หนังสือพิมพ์ และภาพของเครื่องบินกำลังทิ้งระเบิดลงมา ส่วนคนสองคนที่กลางภาพน่าจะเป็นแม่และลูก ในความคิดของเราเรามองเห็นเรื่องของการใช้ชีวิต ธรรมชาติที่สวยงามที่เราควรรักษาไว้ และคงไม่มีใครต้องการสงครามให้เกิดแต่ความเสียหายและผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมาก คำพูดที่ถูกเขียนทั้งภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษก็เป็นคำพูดที่สะกิดเตือนใจพวกเราได้ว่า ไม่ว่าเราจะอยู่บนส่วนไหนของโลกใบนี้ เราสามารถที่จะทำสิ่งที่ดีๆจากจุดที่เราอยู่ ด้วยสิ่งที่เรามี เพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งรอบๆตัวให้ดีขึ้นได้ หลายๆคนทำแบบนี้เข้าก็ค่อยๆเป็นสเกลที่ใหญ่ขึ้นจนมีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้

 

ภาพ street art อีกภาพที่เราชอบ บนกำแพงเบอร์ลินบางส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่ที่ East Side Gallery ภาพแสดงถึงปีที่มีการสร้างกำแพงเบอร์ลินขึ้นมากั้นระหว่างเยอรมันตะวันตกและตะวันออก ใครพยายามหลบหนีไปฝั่งตะวันตกได้ถูกยิงจนถึงแก่ชีวิตในช่วง 29 ปีมีคนตาย 136 คน

หากพูดถึงการสลายลงของกำแพงเบอร์ลินก็เกิดจากการที่คนเยอรมันฝั่งตะวันออกเองไม่เคยยอมแพ้ ถึงแม้จะถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพขนาดไหนก็มีหลายคนเลือกที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อคว้าอิสระมาครอบครอง พยายามหลากหลายวิธีเพื่อที่จะหนีไปที่ฝั่งตะวันตกเพื่อชีวิตที่ดีกว่าตั้งแต่กระโดดข้ามฝั่งจากอพาร์ทเม้นท์ของตัวเอง ว่ายข้ามแม่น้ำ ไปจนถึงพยายามข้ามฝั่งด้วยการลอยบอลลูน สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง แต่พวกเค้าก็สู้กันมาตลอด รวมกลุ่มประท้วงเมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรมกัน จนในที่สุดวันที่พวกเค้ารอคอยก็มาถึง วันที่รัฐบาลต้องออกมาประกาศว่าจะไม่มีการกีดกันไม่ให้ข้ามฝั่งไปยังตะวันตกอีกต่อไป ถ้าพวกเค้าไม่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อสิ่งที่พวกเค้าต้องการ วันนี้กำแพงเบอร์ลินอาจจะยังคงเป็นสิ่งที่กั้นขวางระหว่างเยอรมันตะวันออกและตะวันตกอยู่ก็ได้

รูปผู้ชาย 2 คนจูบกันบนกำแพงเบอร์ลินต้องการจะสื่อถึงอะไร?

ภาพนี้ถือว่าเป็นภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดภาพหนึ่งในอีสต์ไซด์แกลลอรี (The East Side Gallery) เลยก็ว่าได้ สังเกตได้จากการที่เดินผ่านภาพหลายภาพมาเรื่อยๆจนมาถึงภาพนี้จะเห็นคนรุมรอถ่ายรูปคู่กับภาพนี้มากกว่าภาพอื่นๆ ตอนแรกที่เราเห็นก็คิดว่าศิลปินต้องการจะสื่อถึงเสรีภาพของชายรักชายหรือไม่ก็เป็นภาพที่ถูกวาดขึ้นมาเพื่อล้อเลียนนักการเมือง ซึ่งความจริงแล้วภาพนี้เป็นภาพวาดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของผู้นำโซเวียตที่ชื่อว่า Leonid Brezhnev จูบกับประธานาธิบดีของประเทศเยอรมันตะวันออก Erich Honecker ในงานครบรอบ 30 ปีของประเทศเยอรมันตะวันออก German Democratic Republic (GDR) ในปี 1979

ซึ่งการจูบนั้นถือว่าเป็นการทักทายแบบปกติอย่างนึงสำหรับเหล่าผู้นำสังคมนิยม ยังไงก็ตามภาพถ่ายนั้นเป็นที่พูดถึงมากมายในเชิงล้อเลียนว่าพวกเค้าอาจไม่ใช่นักการเมืองที่ดีนักแต่เป็นนักจูบที่จูบได้ดูดดื่มซะจริง ! ภาพนี้มีชื่อว่า The Kiss” หรือ “The Kiss of Death วาดโดย Dmitri Vrubel ศิลปินชาวโซเวียต พร้อมคำพูดใต้ภาพที่แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า God helps me to survive this deadly love affair ประมาณว่า พระเจ้าช่วยพวกเราให้รอดพ้นจากเรื่องรักๆใครๆของ 2 คนนี้ เบื้องหลังของการที่หลายคนต้องตายจากการพยายามหลบหนีจากกำแพงเบอร์ลินที่พวกเค้าร่วมกันสร้างขึ้นมา

เราชอบพวกสตรีทอาร์ตอยู่แล้วโดยเฉพาะภาพวาดเจ๋งๆหรือภาพที่แฝงไปด้วยความหมายดีๆ

อันนี้ก็เจ๋งดี เป็นสตรีทอาร์ตที่มีสีสันสดใสและเต็มไปด้วยภาพของผู้คนที่มีชื่อเสียง เท่าที่เห็นชัดๆแล้วเคยได้ยินชื่อก็มี Nelson Mandela ประธานาธิบดีคนแรกของประเทศแอฟริกาใต้ที่เป็นที่รู้จักกันดีในการเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านการเหยียดสีผิวมาก่อน ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 1993

ภาพของรถ Trabant ที่ชนกำแพงเบอร์ลิน

รถ Trabant เป็นรถที่เป็นที่นิยมใช้กันในฝั่งเยอรมันตะวันออก ภาพวาดนี้เป็นดั่งสัญลักษณ์แทนการที่กำแพงเบอร์ลินถูกทำลายและแทนคนเยอรมันฝั่งตะวันออกหลายคนที่พยายามหลบหนีมาฝั่งตะวันตกผ่านกำแพงเบอร์ลิน

ด้านหลังของอีกฝั่งกำแพงเป็นกราฟฟิตี้ที่มีคนมาเพ้นท์ไว้มากมายที่ฝั่งตะวันตก ใกล้กันมีบริเวณของสนามหญ้าและแม่น้ำที่มีคนมานั่งเล่นพักผ่อนกัน

ภาพสตรีทอาร์ตที่อีสต์ไซด์แกลลอรี (The East Side Gallery) เหล่านี้เป็นภาพสตรีทอาร์ตที่เราชอบเลยถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกซึ่งเป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น ยังมีภาพวาดเจ๋งๆแฝงไปด้วยความหมายและเพื่อการเฉลิมฉลองวันที่กำแพงเบอร์ลินทลายลงอีกมากมายรอให้เพื่อนๆไปเยี่ยมชมมากกว่า 100 ภาพและลองค้นหาความหมายเหล่านั้นด้วยตัวเอง แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางมาที่นี่มากถึง 3 ล้านคน ภาพวาดบางภาพอาจดูใหม่เพราะเกิดจากการวาดทับภาพเก่าที่มีคนมาเพ้นท์กราฟฟิตี้ไว้บ้าง เราชอบตอนที่เดินไปพร้อมดูสตรีทอาร์ตเหล่านี้ไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็นั่งเล่นข้างแม่น้ำ ชิวๆดี

พิกัดอีสต์ไซด์แกลลอรี (The East Side Gallery): East Side Gallery Google Map

อีสต์ไซด์แกลลอรี (The East Side Gallery) วิธีเดินทาง: นั่งรถไฟมาลงที่สถานี (Berlin Ostbahnhof Google Map) แล้วเดินไปที่ The East Side Gallery ประมาณ 10 นาทีถึง

รีวิวเที่ยวเบอร์ลินด้วยตัวเอง: สะพานโอเบอร์บวม (Oberbaum Bridge)

อีกหนึ่งสถานที่ที่อยู่ใกล้กับอีสต์ไซด์แกลลอรี (The East Side Gallery) คือสะพานโอเบอร์บวม (Oberbaum Bridge) เป็นสะพานข้ามแม่น้ำสปรีที่สร้างมาจากอิฐ เป็นอีกหนึ่งแลนมาร์กของเบอร์ลิน เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์และซีรีส์เยอรมันบางเรื่องอีกด้วย ในช่วงที่มีการสร้างกำแพงเบอร์ลินตั้งแต่ปี 1961 – 1989 สะพานแห่งนี้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นจุดเช็คข้ามแดนของเยอรมันตะวันออกที่มีแต่คนเยอรมันตะวันตกเท่านั้นที่สามารถข้ามผ่านไปมาที่จุดเช็คพ้อยท์นี้ได้

เราเดินเล่นใต้สะพานโอเบอร์บวมกันก็สังเกตเห็นว่ามีคนเอารองเท้าหลากหลายสีสันมาแขวนไว้ด้านบนใต้สะพานเต็มไปหมดเลย คิดว่าก็คงเป็นอีกงานอาร์ตแบบนึงนอกเหนือจากสตรีทอาร์ตเจ๋งที่เห็นได้แทบทุกซอกทุกมุมบนกำแพงของเมืองนี้ ตอนที่เดินเล่นอยู่เพลินๆ ที่ใต้สะพาน Oberbaum Bridge ก็มีคนหน้าตาดีเข้ามาขอเงินแถมพูดภาษาอังกฤษได้ชัดแจ๋วเลยประมาณว่า “พวกคุณกำลังมีช่วงเวลาที่ดีที่นี่ พอจะช่วยแบ่งเศษเงินให้ผมหน่อยได้ไหม? ” ใจนึงก็สงสารแต่เราได้แต่ส่ายหน้าและเดินหนี เพราะเห็นเค้าสูบบุหรี่ด้วย ได้เงินไปก็คงเอาไปสูบบุหรี่ แต่นั่นก็เป็นครั้งเดียวที่เจอว่ามีคนเดินเข้ามาขอเงินถึงตัวแบบนี้ ยังไงก็ระวังตัวกันด้วยนะ เราแอบกลัวนิดนึงแต่ตอนนั้นไม่ได้อยู่คนเดียว แฟนก็อยู่ข้างๆเลยไม่ได้อะไร

รอถ่ายภาพตอนรถไฟขับผ่านสะพานโอเบอร์บวมพอดี แชะ!

เหล่าสตรีทอาร์ตมีให้คุณหันไปค้นจนเจอแทบทั่วทุกซอกทุกมุมของเมืองๆนี้ “เบอร์ลิน” ตอกย้ำฉายาเมืองหลวงแห่งสตรีทอาร์ตกันอีกครั้ง

ใครมันช่างไปเพ้นท์สตรีทอาร์ตกลางแม่น้ำแบบนั้นน้อ ยอมใจ นั่งเรือไปเพ้นท์?

ลายตึกก็ยังอาร์ต
สตรีทอาร์ตของอัลเบิร์ต ไอสไตน์ในเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน

อัลเบิร์ต ไอสไตน์จริงๆแล้วพิการทางการอ่านหรือเขียนที่เรียกว่า dyslexia โดยเค้าบอกว่าความเชื่องช้าที่เป็นผลกระทบจาก dyslexia นั้นเป็นประโยชน์ในการพัฒนาของเขา ทำให้มีเวลาคิดถึงอวกาศและเวลามากกว่าคนอื่น ๆ ครอบครัวของเค้าเคยอาศัยอยู่ที่มิวนิคมาก่อน แต่พอกิจการของพ่อเค้าล่มก็ย้ายกันไปอยู่ที่ประเทศอิตาลี ส่วนไอน์สไตน์แอบลาออกจากโรงเรียนมัธยมโดยอ้างว่าจะไปเรียนเป็นแพทย์ฝึกหัดจากแพทย์ของเค้าเอง เค้าเก่งวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มาก แต่ศิลปศาสตร์กลับไม่เอาไหนทำให้ไม่สามารถสอบเข้าสถาบันเทคโนโลยีแห่งสมาพันธรัฐสวิสในเมืองซูริก  ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้ เค้าเลยถูกส่งตัวไปเรียนมัธยมจนจบในสวิตเซอร์แลนด์จากนั้นก็สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้และเรียนจนจบปริญญาเอกในที่สุด เป็นผู้เสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพ และมีชื่อเสียงขึ้นมาจากการอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก อัลเบิร์ต ไอสไตน์เป็นคนเยอรมันเชื้อสายยิว เกิดที่เมืองอุล์ม ประเทศเยอรมัน เพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้ตอนค้นหาข้อมูลว่าจริงๆแล้วเค้าเป็นคนเยอรมัน !

Reference: Why Is Brezhnev Kissing Honecker on The Berlin Wall?

อ่านเที่ยวเบอร์ลินด้วยตัวเองตอนก่อนหน้าได้ที่นี่:

 

อ่านเที่ยวเบอร์ลินด้วยตัวเองตอนต่อไปได้ที่นี่: เที่ยวเบอร์ลิน (Berlin) ตอนที่ 8: แวะดูนาฬิกาโลกเบอร์ลิน (World Clock Berlin) กลางเมืองสุดเจ๋งและแนะนำอาหารที่เห็นได้แทบจะทั่วเยอรมันอย่างโดเนอร์ “Doner” ทั้งแบบธรรมดาและแบบมังสวิรัติเอาใจคนรักสุขภาพ


เช็คราคาตั๋วเครื่องบินกรุงเทพ-เบอร์ลินได้ที่นี่: http://bit.ly/flights-Bangkok-Berlin

แนะนำวิธีค้นหาตั๋วเครื่องบินราคาถูกและคุ้มที่สุดสำหรับการเดินทางทั้งในไทยและต่างประเทศ เอาใจแบ็คแพ็คเกอร์สายประหยัดเหมือนกัน

เรื่อง: ตรีสุคนธ์ จีระมะกร (ตรี)

  • รับจ้างเขียน content สนใจส่งข้อความมาทางเว็บไซต์ได้เลยค่ะ
  • รับจองตั๋วเครื่องบินทั้งในไทยและต่างประเทศราคาถูก สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมและทักแชทมาได้ที่ Helloholidays.xyz FB Page