Author: threeteatree

ฉันเคยได้ยินคำว่าอิคิไก (IKIGAI) มาบ้าง ผ่านแผนภาพที่แสดงให้เห็นว่า อิคิไกคือจุดสมดุลที่เกิดจากการที่เราได้ทำในสิ่งที่ชอบ ทำมันได้ดี หาเลี้ยงชีพด้วยสิ่งนั้นได้ และยังเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมด้วย ฉันเชื่อว่ามนุษย์เกิดมาเพื่อตามหาอิคิไกของตัวเอง บางคนอาจเจอแล้ว บางคนอาจกำลังตามหาอยู่ ฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะอยากทำความเข้าใจกับอิคิไกให้มากขึ้น ฉันเลยซื้ออีบุ๊ค IKIGAI ที่เขียนโดย Hector Garcia มาอ่าน แล้วตัวอักษรจากหนังสือไม่เกิน 200 หน้าก็ร่ายมนตร์ให้ฉันอยากลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองตั้งแต่บทแรกๆ ที่อ่านจบ ฉันอยากบันทึกสิ่งที่ได้เรียนรู้ไว้ในบล็อกนี้และชวนทุกคนออกตามหาอิคิไกของตัวเองไปพร้อมๆ กัน..   อิคิไก (IKIGAI) แปลว่าอะไร?   ที่มา: unsplash.com คำว่าอิคิไก (Ikigai) ในภาษาญี่ปุ่นแปลตรงตัวได้ว่า “ชีวิตที่มีคุณค่า” อิคิไกคือความสุขที่เกิดขึ้นจากการทำตัวให้ยุ่งอยู่ตลอดเวลากับสิ่งที่ชอบ เป็นแนวคิดในการใช้ชีวิตของคนญี่ปุ่นที่มีชีวิตยืนยาวกว่า 100 ปี โดยเฉพาะคนญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในเมืองโอกิมิ (Ogimi) บนเกาะโอกินาว่า อิคิไกสำหรับพวกเขาคือเหตุผลของการตื่นขึ้นมาในทุกๆ วัน..   โอกินาว่า (Okinawa) หนึ่งในห้า Blue Zone ของโลก   ที่มา: unsplash.com Blue Zone คือเมืองต่างๆ...

เมื่อสองปีที่แล้ว.. ฉันตัดสินใจลาออกจากงานประจำงานแรกในชีวิตซึ่งยังคงเป็นงานสุดท้ายในขณะนี้ด้วยเหตุผลหลักที่ว่า “งานนั้นหนักเกินไป” งานที่ว่าคือการเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีหรือออดิทที่หลายๆ คนน่าจะเคยได้ยินมาบ้าง   เป็นออดิทเพราะเรียนบัญชี Art by Palim ตอนที่อยู่มหาวิทยาลัยปีสาม ฉันมีโอกาสฝึกงานในบริษัทที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆ ของสายงานนี้ เมื่อการฝึกงานจบลง ฉันก็ได้รับข้อเสนอให้เซ็นสัญญาเข้าทำงานต่อทันทีหลังเรียนจบ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าดีใจสำหรับนักศึกษาคนหนึ่งในตอนนั้น เพราะเรียนจบปุ๊ปก็มีงานทำเลย ไม่ต้องมานั่งหาที่สมัครงานแล้วตระเวนสอบสัมภาษณ์เหมือนกับใครเขา คะแนน TOEIC ที่สอบไว้ก็ยังไม่เคยเอาไปใช้ด้วยซ้ำ และนั่นก็ทำให้ปีสี่ในมหาวิทยาลัยของฉันเป็นปีที่สนุกที่สุด เพราะไม่ได้ห่วงเรื่องเกรดเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว จากที่เคยเป็นเด็กเรียน เข้าเรียนทุกคาบ นั่งหน้าตลอด ก็เริ่มโดดเรียน สนุกกับ Friday night จากที่เคยทำกิจกรรมมาบ้างแบบประปราย ก็หาทำเพิ่ม ทำงานพาร์ททามติวหนังสือมากกว่าเดิมเพื่อเก็บเงินไว้ไปเที่ยวต่างประเทศด้วยตัวเอง วันที่คนอื่นอ่านหนังสือสอบอย่างแข็งขัน ฉันยังนั่งติวหนังสือให้คนอื่นอยู่เลย   เกียรตินิยมนั้น.. สำคัญแค่ไหน? Art by Palim ถึงจะชิวไปบ้างหรือทำกิจกรรมเยอะแค่ไหน ฉันก็ยังคงตั้งใจเรียนในห้องและอ่านหนังสือสอบจนดึกดื่นอยู่เหมือนเดิม ทำให้ยังเรียนจบด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับหนึ่งได้ (เพราะบุญเก่าก่อนเซ็นสัญญาแท้ๆ) เป็นสิ่งหนึ่งที่ภูมิใจ แต่ก็เป็นอย่างนั้นได้ไม่นาน เพราะจริงๆ แล้วเกียรตินิยมไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น ฉันยังไม่เคยใช้เกรดของตัวเองที่ได้มาไปยื่นสมัครงานที่ไหนเลยด้วยซ้ำ ยิ่งถ้ามองย้อนกลับไปถึงชีวิตมหาวิทยาลัยของตัวเอง ก็จะนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำแล้วได้ประสบการณ์พร้อมความสนุกเสียมากกว่า อย่างตอนที่ทำพาร์ททามในร้านอาหารชั่วโมงละ 30 บาทแถมข้าวเย็นฟรี...

ทริปเที่ยวไอซ์แลนด์ด้วยตัวเองของเราได้เดินทางมาถึงตอนสุดท้ายจนได้ วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เรายังแวะที่เที่ยวในไอซ์แลนด์ต่างๆ ได้อยู่ เพราะพรุ่งนี้เราต้องตื่นกันแต่เช้าเพื่อจัดการเรื่องคืนรถที่สนามบิน และเตรียมบินกลับไปที่เมืองบูดาเปสด์ ประเทศฮังการี จุดหมายปลายทางที่เราตั้งใจจะไปในวันนี้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของไอซ์แลนด์ที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงเรคยาวิก (Reykjavik) มากนัก นั่นก็คืออุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Thingvellir National Park) โดยระหว่างทางเราแวะที่บ่อน้ำพุร้อนไกเซอร์ (Geysir) และคาเฟ่ในถ้ำที่ชื่อว่า The Cave People เพราะบังเอิญเจอป้ายข้างถนนที่ชวนให้ขับรถตามเข้าไปดู เที่ยวไอซ์แลนด์ด้วยตัวเอง: ไกเซอร์ (Geysir) ฟ้าครึ้มมาเลยวันนี้ พอขับรถมาถึงที่ไกเซอร์ (Geysir) ก็มีฝนตกแบบปรอยๆ คอยต้อนรับเราอีกแล้ว เราเลยต้องเดินฝ่าฝนลงไปสำรวจกัน ที่นี่คนเยอะมาก! โดยเฉพาะตรงบ่อน้ำพุร้อนขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลาง คนพากันมุงอยู่รอบๆ ถือกล้องกับมือถือยืนรอถ่ายอะไรสักอย่างกันเต็มไปหมด พวกเราเลยเดินผ่านกันไปก่อนเพราะคนเยอะมากจนไม่มีที่ให้เราแทรกตัวเข้าไปได้ จนไปเจอบ่อน้ำพุร้อนที่อยู่ด้านขวาสุด พร้อมกับป้ายชื่อที่ถูกสลักไว้บนก้อนหินซึ่งเป็นที่มาของชื่อสถานที่แห่งนี้ "Geysir" ข้างๆ มีอีกครอบครัวหนึ่งกำลังยืนแถวบ่อน้ำพุร้อนนี้อยู่เหมือนกัน เรายิ้มในใจเมื่อเห็นว่า พวกเขาพาชายคนหนึ่งที่นั่งบนรถเข็นมาเที่ยวและชื่นชมความน่าทึ่งของธรรมชาติไปกับพวกเขาด้วย แม้ทางเดินอาจจะไม่ได้สะดวกมากนักก็ตาม สักพักเราก็ได้ยินเสียงดังตู้มม! จากตรงที่มีคนมุงดูกันอยู่เยอะๆ นั่นเอง มันคือเสียงของน้ำพุระเบิด! ปรากฏการณ์ธรรมชาติซึ่งเป็นไฮไลท์ของที่นี่...

ทัวร์ในไอซ์แลนด์มีให้เลือกค่อนข้างหลากหลาย เท่าที่เราเห็นตอนค้นหาข้อมูลก็จะมีทั้งทัวร์พาปีนธารน้ำแข็ง ทัวร์นั่งเรือชมธารน้ำแข็ง ทัวร์ขี่สโนว์โมบิล ทัวร์ชมถ้ำน้ำแข็ง และตอนที่เรามาถึงก็เห็นว่ามีทัวร์ชมแมวน้ำและปลาวาฬด้วย เราอยากจะไปมันให้หมดนี่เลยแต่ติดอยู่ที่งบประมาณนี่แหละ! เราก็เลยเลือกเพียงแค่ทัวร์เดียวเท่านั้นที่คิดว่าน่าจะมีความพิเศษที่สุดนั่นก็คือทัวร์ชมถ้ำน้ำแข็ง ช่วงที่เราไปเที่ยวไอซ์แลนด์เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว เป็นช่วงของฤดูใบไม้ผลิที่กำลังย่างเข้าสู่ฤดูหนาวพอดี แต่โชคดีที่ยังมีถ้ำน้ำแข็งแห่งหนึ่งในไอซ์แลนด์ที่สามารถเข้าไปชมได้ตลอดปี ที่นี่มีชื่อว่า Mýrdalsjökull glacier เที่ยวไอซ์แลนด์ด้วยตัวเอง: ทัวร์ถ้ำน้ำแข็งในไอซ์แลนด์ที่ Mýrdalsjökull glacier วันนี้ตื่นมาปุ๊ป เตรียมตัวเสร็จก็รีบออกเดินทางจากเมืองสโกกาฟอสส์ (Skogarfoss) ไปยังเมืองวิก (Vik) ในที่จอดรถใกล้กับร้าน Ice Cave Bistro/Restaurant ซึ่งเป็นจุดนัดหมายก่อนการไปทัวร์ด้วยกันในวันนี้ เวลานัดคือ 11.30 น. พอใกล้ถึงเวลาพวกเราเดินหาจนทั่วที่จอดรถก็ไม่เจอกลุ่มนักท่องเที่ยวหรือรถที่จะพาไปทัวร์เลย จนสักพักมีรถจิ๊บคันนึงขับมาจอดที่หน้าร้านอาหารพร้อมป้าย Arctic Adventure แล้วก็มีชาวไอซ์แลนด์คนนึงเดินลงมาทักทาย เราแอบตื่นเต้นที่ได้เจอคนไอซ์แลนด์และได้พูดคุยด้วยเป็นครั้งแรก (ถ้าไม่นับพนักงานต้อนรับที่โรงแรม) พวกเรามาถึงเป็นคนแรกๆ เลยยังต้องรอนักท่องเที่ยวคนอื่นกัน สักพักก็มีรถอีกคันตามมา ซึ่งเป็นไกด์ของเราในวันนี้ ทั้งสองคนเป็นชายต่างวัย แต่ต่างก็ไว้หนวดไว้เครา ให้เราเดาผู้ชายไอซ์แลนด์ส่วนใหญ่ก็น่าจะไว้หนวดแนวๆ นี้เหมือนกัน เพราะด้วยอากาศหนาวแทบจะตลอดทั้งปีของที่นี่ สักพักพวกเราก็นั่งกันจนเต็มคันรถ...

เที่ยวไอซ์แลนด์ด้วยตัวเองเดินทางมาถึงวันที่ 5 แล้ว เวลาผ่านไปไวมาก.. แป๊บเดียวเราก็เดินทางกันมาเกินครึ่งทางแล้ว วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันที่เราชอบมากที่สุดในทริปเที่ยวไอซ์แลนด์ 7 วันเลยล่ะ เพราะเป็น "Glacier day" วันที่เราได้มีโอกาสเห็นธารน้ำแข็งเป็นครั้งแรกในชีวิต! ตื่นเต้นมาก มันทั้งสวยทั้งยิ่งใหญ่ ต้องถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกแบบรัวๆ แถมวันนี้ยังเต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์ เจอสถานที่ท่องเที่ยวในไอซ์แลนด์สวยๆ ระหว่างทางนอกเหนือจากแพลนที่วางไว้ตอนหาข้อมูลอีกแล้ว และวันนี้ก็มีมากเป็นพิเศษ เราเดินทางจากเมืองวาเกสสตาเดียร์ (Vagnsstadir) มุ่งหน้าไปยังเมืองสโกกาฟอสส์ (Skogarfoss) จอดแวะที่เที่ยวไอซ์แลนด์ที่แรกคือเกลเซียร์ ลากูน (glacier lagoon) และหาดไดมอนด์บีช (Diamond beach) ปิดท้ายด้วยอุทยานแห่งชาติสกาฟทาเฟล (Skaftafell National Park) ในช่วงเย็น เที่ยวไอซ์แลนด์ด้วยตัวเอง: เกลเซียร์ ลากูน (glacier lagoon) ที่เที่ยวไอซ์แลนด์ที่แรกสำหรับวันนี้คือเกลเซียร์ ลากูน (glacier lagoon) ขับรถออกมาจากที่พักในเมือง Vagnsstadir แค่ประมาณ...

เที่ยวไอซ์แลนด์ด้วยตัวเองวันที่สี่นี้ เราวางแผนไว้ว่าต้องออกเดินทางจากเมืองเอกิลสตาเดียร์ (Egilsstadir) ไปที่เมืองวาเกสสตาเดียร์ (Vagnsstadir) ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงด้วยกัน แต่ก่อนจะออกเดินทางจริงๆ เรามานั่งคุยกันเพื่อตัดสินใจอีกครั้งว่าจะขับรถขึ้นไปแวะเที่ยวที่ Borgarfjardarhöfn ในวันนี้กันดีไหมเพราะต้องขับรถย้อนกลับขึ้นไปอีกทางประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ จริงๆ แล้วเราวางแผนไว้ว่าจะไปตั้งแต่เมื่อวานแต่ก็ค่ำซะก่อนเพราะแวะกันที่อุทยานแห่งชาติวัทนาโจกุล (Vatnajökull National Park) ระหว่างทางเข้าโดยบังเอิญ เราอยากไปที่นั่นมากๆ เพื่อไปดูนกพัฟฟิน (Puffin) ส่วนแฟนยังลังเลเพราะต้องขับรถย้อนกลับไปไกลโดยที่ไม่รู้เลยว่าจะได้เจอแน่ๆ รึเปล่า จนแฟนถามว่าอยากไปจริงๆ ใช่ไหม เราก็ยืนยันว่าใช่ จนสุดท้ายก็พากันขับรถมุ่งหน้าไปยัง Borgarfjardarhöfn ในที่สุด เที่ยวไอซ์แลนด์ด้วยตัวเอง: Borgarfjardarhöfn เราได้ยินชื่อและเห็นหน้าตาน่ารักของเจ้านกพัฟฟินครั้งแรกจากบล็อกเที่ยวไอซ์แลนด์ด้วยตัวเอง เมื่อ Walter Mitty บอกฉันให้หนีจากไทยไปผจญภัยที่ไอซ์แลนด์ ใน a day magazine ออนไลน์ พวกเค้าโชคดีได้เห็นนกพัฟฟินโดยบังเอิญ ทำให้เราอยากไปตามล่าหานกพัฟฟินในไอซ์แลนด์ดูบ้างถ้ามีโอกาส เพราะตอนอยู่ไทยเราชอบดูนกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ลองค้นหาที่ดูพัฟฟินในไอซ์แลนด์ก็เจอแต่แบบที่ต้องไปกับทัวร์...

เที่ยวไอซ์แลนด์ด้วยตัวเองวันที่สาม เราออกเดินทางจากเมืองอาร์บอท (Arbot) ไปยังเมืองเอกิลสตาเดียร์ (Egilsstadir) ตื่นมาก็กินคอนเฟลกตอนเช้าให้พออิ่มท้อง แพ็คกระเป๋ากันอีกวันจนเสร็จเรียบร้อยก็ออกเดินทางได้ วันนี้เราจะไปที่เที่ยวไอซ์แลนด์อีกแห่งที่ไม่ควรพลาดนั่นก็คือน้ำตกเดตตี้ฟอสส์ (Dettifoss waterfall) แม้ในไอซ์แลนด์จะมีน้ำตกมากมายหลายแห่งแต่น้ำตก Dettifoss ควรถูกเพิ่มไว้ในรายชื่อสถานที่ท่องเที่ยวในไอซ์แลนด์ที่น่าไป เพราะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นน้ำตกที่เป็นทรงพลังมากที่สุดในยุโรป! เที่ยวไอซ์แลนด์ด้วยตัวเอง: อุทยานแห่งชาติวัทนาโจกุล (Vatnajökull National Park) แต่ก่อนจะไปถึงจุดหมายที่ตั้งใจไว้ ระหว่างทางเราเจอป้ายบอกทางไปยังอุทยานแห่งชาติวัทนาโจกุล (Vatnajökull National Park) พอดี เราก็เลยตัดสินใจแวะเข้าไปดูภายในอุทยานกันเพราะยังไงวันนี้ก็มีเวลาเหลือเฟือ แม้เราแพลนไว้ว่าจะมาเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติแห่งนี้ในอีกสองวันข้างหน้าก็ตาม เคยดูในแผนที่แล้วเห็นว่าอุทยานวัทนาโจกุลมีขนาดใหญ่มาก เกือบ 1 ใน 4 ของประเทศเลยก็ว่าได้ มาเจอทางเข้าแบบบังเอิญทั้งทีก็เลยหยุดแวะกันซะหน่อย ขับรถกันเข้ามาจนถึงจุดต้อนรับนักท่องเที่ยว ด้านหน้ามีป้ายแนะนำเส้นทางเดินป่าภายในอุทยาน Vatnajökull ให้ดูซึ่งมีอยู่หลายเส้นทางด้วยกัน ใช้เวลาตั้งแต่ 1.5 - 2 ชั่วโมงไปจนถึง 6 - 7 ชั่วโมง เราสายขี้เกียจเลยบอกแฟนว่าเลือกเดินเส้นทางที่สั้นที่สุดกัน!...

จุดหมายในเที่ยวไอซ์แลนด์ด้วยตัวเองวันที่สองของเราคือเมืองอาร์บอท (Arbot) ซึ่งห่างจากเมืองอาคูเรย์รี่ (Akureyri) แค่ประมาณ 60 กว่ากิโลเมตรเท่านั้น ใกล้กว่าเส้นทางในวันแรกหลายเท่า! วันนี้คนที่ขับรถก็เลยขับได้แบบสบายๆ ถึงระยะทางจะใกล้แต่ระหว่างทางมีสถานที่ท่องเที่ยวในไอซ์แลนด์ให้แวะเยอะมาก และที่เที่ยวไอซ์แลนด์ที่เราแวะกันที่แรกก็คือน้ำตกโกดาฟอสส์ (Godafoss waterfall) ขับไปตามถนนเส้นหลักออกจากโรงแรม Akureyri H.I. Hostel แค่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึง สังเกตได้เลยว่าเป็นจุดแวะเที่ยวเพราะเห็นรถจอดอยู่เต็มไปหมด เที่ยวไอซ์แลนด์ด้วยตัวเอง: น้ำตกโกดาฟอสส์ (Godafoss waterfall) น้ำตกโกดาฟอสส์ (Godafoss waterfall) แปลเป็นไทยได้ว่า "น้ำตกของพระเจ้า" ชื่อนี้มีที่มาที่น่าสนใจ สมัยก่อนคนที่นี่ส่วนใหญ่เป็นชาวนอร์วีเจียนที่นับถือศาสนานอร์ส (Norse religion) บูชาเทพอย่าง Thor, Odin, Loki และ Freya จนกระทั่งในปี ค.ศ. 930 ที่ไอซ์แลนด์มีการจัดตั้งเป็นเครือรัฐขึ้นมา ก็เกิดแรงกดดันให้ผู้คนที่นี่ต้องหันมานับถือศาสนาคริสต์แทน เพราะไม่อย่างนั้นอาจถูกรุกรานจากคนในฝั่งยุโรปได้ ซิงเควลลิร์ (Þingvellir) เป็นที่ที่มีการพบปะกันของตัวแทนในสภาปีละครั้ง โดยผู้ที่เป็นผู้รักษากฎในตอนนั้นจะต้องทำหน้าที่ในการตัดสินใจ...

เที่ยวไอซ์แลนด์ด้วยตัวเองเป็นทริปที่เรารอคอยมานาน หลังจากที่เที่ยวยุโรปมาเกือบ 2 เดือนตั้งแต่ประเทศเนเธอร์แลนด์ เยอรมัน สาธารณรัฐเช็ก เดนมาร์ก โปแลนด์ สเปน ออสเตรีย และฮังการี ซึ่งทุกที่ล้วนเป็นเมืองทั้งนั้นเลย เราก็เลยอยากเปลี่ยนบรรยากาศไปเที่ยวท่ามกลางธรรมชาติบ้าง ทำให้นึกถึงประเทศไอซ์แลนด์ขึ้นมา ลองเสิร์ชดูก็พบว่าไอซ์แลนด์เข้าร่วม EFTA (European Free Trade Area) และอยู่ภายใต้วีซ่าเชงเก้น (Schengen Visa) ด้วย เราเลยแบ่งเวลาหนึ่งอาทิตย์ไว้สำหรับ Road trip ในไอซ์แลนด์โดยเฉพาะ พวกเราค้นหาข้อมูลสำหรับการเดินทางในประเทศไอซ์แลนด์ล่วงหน้า ทั้งเรื่องเช่ารถ จองที่พักในแต่ละคืน และวางแผนเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวที่อยากจะไปในแต่ละวัน เพราะอยากขับรถรอบเกาะภายใน 7 วัน การเดินทางจะได้เป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นทริปประหยัด เนื่องจากค่าครองชีพในไอซ์แลนด์ค่อนข้างแพง แต่เราบอกได้เลยว่า ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่ควรค่าแก่การมาให้ได้ซักครั้งในชีวิต เพราะธรรมชาติของที่นี่สวยงามจนเกินบรรยาย...

เที่ยวอินส์บรุค (Innsbruck) เป็นเหมือนกำไรมากกว่า เพราะจริงๆ แล้วเราตั้งใจมาหาเพื่อนชาวออสเตรีย ที่รู้จักกันตอนที่เธอมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนในไทยเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตอนนั้นพวกเราไปเที่ยวด้วยกันบ่อยมาก พอเราได้มีโอกาสมาเที่ยวยุโรปด้วยตัวเองทั้งที ก็เลยพยายามหาเวลาไปหาถึงที่ แล้วก็เที่ยวอินส์บรุค (Innsbruck) ไปในตัวด้วยซะเลย ตอนนี้เธอทำงานด้านการตลาดอยู่ที่นี่หลังจากเรียนจบโทจากมหาวิทยาลัยของเมืองนี้ เค้าน่ารักมาก ทั้งขี่จักรยานมารับ สละห้องตัวเองให้เราเข้าพัก แล้วไปนอนห้องของเพื่อนแทน พาทัวร์เมือง แฮงค์เอาท์ตอนกลางคืน นั่งเคเบิ้ลคาร์ขึ้นไปดูวิวของเมืองอินส์บรุคบนเทือกเขาแอลป์ กินอาหารในร้านอร่อย ทำให้เรามีช่วงเวลาดีๆ ในเมืองเล็กๆ ที่อบอุ่นแห่งนี้.. เมืองอินส์บรุค ประเทศออสเตรีย จากฟุสเซน (Fussen) ไป อินส์บรุค (Innsbruck)   จากมิวนิค (Munich) ไป อินส์บรุค (Innsbruck) พวกเราเดินทางจากมิวนิคมาที่เมืองการ์มิช-พาร์เทินเคียร์เชิน (Garmisch-Partenkirchen) ด้วยรถไฟกันก่อน จากนั้นก็ขึ้นรถบัส Flixbus มาที่อินส์บรุคอีกทีในช่วงกลางคืน ซึ่งใช้เวลาแค่ประมาณ 1 ชั่วโมง...